Friday, May 15, 2009

ท่านจะช่วยเปลี่ยนสังคมไทยได้อย่างไร โดยคุณเพียงดิน ประชาไท

ปฎิวัติสังคมไทย: ท่านจะช่วยเปลี่ยนสังคมไทยได้อย่างไร โดยคุณเพียงดิน ประชาไท
หวังว่าคุณจีรนุชและประชาไท จะไม่เดือดร้อนเพราะบทความนี้... เขียนด้วยส่วนที่อ่อนโยนที่สุดของหัวใจแล้ว
โพสต์โดย : piangdin
icon ID # 785055 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 19:22:36 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


ผมแปลกใจแต่ขอบคุณอย่างยิ่งที่กระทู้เจ้าปัญหาของผม ซึ่งได้รับความสนใจจากพี่น้องจำนวน
หนึ่ง ได้รับการกู้คืนมา ผมหมายถึงกระทู้นี้ครับ ที่หายไปสองครั้ง และไม่คิดว่าจะได้เห็นหน้า
กันอีกแล้ว
http://www.prachataiwebboard.com/webboard/wbtopic.php?id=784846#1647544

ผมไม่อยากให้คุณจีรนุชและพี่น้องเดือดร้อน แต่ก็พยายามไม่ตอแหล และพยายามเขียนใน
เรื่องที่สร้างสรรค์แบบไม่ให้ใครเจ็บปวดจนต้องออกมาปิดเว็บประชาไท

อันที่จริงก็มีเรื่องที่คิดมานานแล้ว แต่ไม่มีอารมณ์เขียนสักที เพราะหัวใจส่วนที่อ่อนโยนของผม
มันได้ถูกรัฐบาลกล้วยจำบ่ม (เละยิ่งกว่ามะม่วงนะครับ) และพฤติกรรมของอำมาตย์ทั้งหลาย
ในระยะสามปีหลังนี้ สะกดให้มันหยาบกระด้างไปมาก จนต้องวอร์มอัพกันนานทีเดียว กว่าจะ
สามารถเขียนบทความข้างล่างนี้ได้

ขอฝากบทความนี้ให้พี่น้องอ่าน และขอให้อ่านอย่างเปิดใจ หากไม่เห็นด้วยในเบื้องต้น
ขอให้สงบจิตสงบใจแล้วลองอ่านซ้ำนะครับ... เพราะนี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดของสังคมไทยครับ
มันทำยาก แต่หากเราไม่เลือกทางนี้ เราจะเดือดร้อนไปอีกนานและจะสูญเสียมหาศาล
แต่กระนั้น การเลือกทางที่ผมเสนอนี้ ต้องอาศํยรายละเอียดในเชิงการวางแผนและการร่วมมือ
ร่วมใจ ตลอดจนการจัดระบบใหม่ หรือการอภิวัฒน์สังคมไทยแบบต้องทนเจ็บปวด อย่าง
รอบคอบและไม่เห็นแก่ตัวและประโยชน์ของหมู่คณะ บทความยาวหน่อยนะครับ

------------------------------------------------------------
ปฎิวัติสังคมไทย: ท่านจะช่วยเปลี่ยนสังคมไทยได้อย่างไร
เพียงดิน


"Whenever you have truth it must be given with love, or the message and the
messenger will be rejected"--Gandhi


มหาตมะ คานธี นักประชาธิปไตยผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกตะวันออก ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่
ท่านมีความจริงจะบอกแก่ผู้อื่น จงแบ่งปันด้วยความรัก มิเช่นนั้น ทั้งสิ่งที่อยากบอกและตัวผู้
บอกเอง จะถูกปฏิเสธ คำกล่าวนี้ สามารถนำมาปรับใข้ได้กับการเคลื่อนไหวปฎิวัติ
ประชาธิปไตยไทยอย่างยิ่ง แต่อาจจะต้องอาศัยความเข้าใจที่เหนือการมองแบบผิวเผินและ
อารมณ์อันคุกรุ่นสักหน่อย

ผมมีโอกาสนั่งดูคุณวิกรม นั่งพรรณาเรื่องปัญหาการเมืองไทยกับคุณสรยุทธ ในรายการจับเข่า
คุย เมื่อ 16 มีนาคม ศกนี้ (โปรดดูคลิ๊ปรายการออนไลน์ที่
http://video.gigchat.com/view_7d8167224d5eebc95cb8.html) จึงมีโอกาสได้
เห็นคนที่เคยมองทักษิณแบบสาดเสียเทเสีย คนที่เคยทรนงในตนเองมหาศาล อย่างคุณวิกรม
มานั่งนึกย้อนถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความแตกแยกทางการเมือง ผมพยายามจับน้ำ
เสียงของเขาว่า มีกระแสสีเหลืองและความทรนงอยู่มากน้อยแค่ไหน กลับพบว่า เหลือน้อย
เหลือเกิน กลายเป็นคนมององค์รวมของความเป็นคนร่วมชาติ กลายเป็นการมองความจริงบน
พื้นฐานของคนที่ปลงตกกับข้อมูลที่เห็น ก็น่าอยู่ล่ะครับ ข้อมูลที่เต็มตาตนเองจากการลงทุน
ส่วนตัวที่ถูกกระทบอย่างรุนแรงเงินหายไปนับสี่พันล้าน และการได้เห็นความเจริญเติบโตของ
คนเวียตนาม ที่ปริมาณการลงทุนจากต่างประเทศในช่วงปีที่ผ่านมาเหนือกว่าประเทศไทย
700% หรือมากกว่าเราเจ็ดเท่า!

วันนี้ คนไทยหลายคนที่ไม่ชอบบรรดาคนสีเหลือง ก็คงอดจะสะใจ สมน้ำหน้าไม่ได้ แต่นึกไป
นึกมา คนไทยคนหนึ่งจนลง ก็แปลว่าประเทศไทยเราสูญเสียไปด้วย เพราะเราทั้งหลายอยู่ใน
ข้องเดียวกันครับ ปลาตายหนึ่งตัวมันก็เป็นไปทั้งข้องแน่ หากเราต้องอุดอู้อยู่ด้วยกัน ก็คงต้อง
ตายเพราะน้ำเน่าแน่ เพราะอย่างไรก็ตาม เรายังคงผูกพันเป็นพี่น้องร่วมชาติกัน ตัดกันไม่ขาด
หากคิดให้ดี เราจะเห็นว่า ท่าทีที่มองปัญหาด้วยสติเพิ่มขึ้น และด้วยอคติที่ลดลงพร้อมกับ
อัตตานี้แหละ ที่จะทำให้เราสื่อสารถึงกันได้ดีขึ้น สื่อสารด้วยความจริงที่ใสและตกตะกอน และ
สื่อถึงใจกันได้ง่ายขึ้น ผมนั่งฟังรายการนี้ด้วยความคิดว่า บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ที่ทุกฝ่ายในบ้าน
เมืองเรา ต้องถอยกันคนละก้าว แล้วคิดพิจารณาทบทวนหน้าหลัง แยกความจริงออกจากอคติ
มองคนไทยทุกฝ่ายแบบคนไทยด้วยกัน มองผลประโยชน์และความชอบส่วนตนให้น้อยกว่าผล
ประโยชน์ร่วมกันในฐานะคนร่วมชาติ แล้วก็มองให้ออกถึงผลของสิ่งที่เราได้ทำมาแล้วและ
กำลังทำอยู่

เขียนมาอย่างนี้ เหมือนกับว่าผมจะไม่มีอคติ และไม่มีจุดยืน เปล่าหรอกครับ ผมมิอคติและมีจุด
ยืนชัดเจนมั่นคง คือผมเห็นว่า เสรีประชาธิปไตยเท่านั้น ที่จะเป็นทางออกระยะยาวที่แท้จริง
ของสังคมไทย พวกอำมาตย์ต้องยอมรับว่าตนเองเห็นแก่ตัว รักตัวเองมากเกินไป ไม่เห็นหัว
คนอื่น โลภมากอยากได้เกินกว่าที่ตนควรจะได้ และไม่ยอมให้คนอื่นได้รับผลของการบริหาร
อำนาจและจัดการผลประโยชน์ตามระบอบที่ใช้อยู่ จนไม่สนว่าวิธีการจะทำร้ายประเทศชาติ
และตนเองเพียงใด ขอเพียงให้สมที่ตนอยากได้ จนการกระทำทุกอย่างที่ผ่าน ๆ มา กลายเป็น
ความหลงผิด เชื่อผิด ๆ ว่าตนรักชาติ เชื่อผิด ๆ ว่าตนทำดีมากกว่าคนอื่น เชื่อผิด ๆ ว่าตนรู้ดีกว่า
ชาวบ้าน เชื่อผิด ๆ หรือหลงผิดว่า ตนเองทำประโยชน์ด้วยการเสียภาษีให้บ้านเมืองมากกว่าชาว
บ้าน จึงควรมีสิทธิมากกว่า ฯลฯ ผมเชื่อว่าพวกอำมาตย์และคนสีเหลือง ทำบาปกรรมให้กับ
บ้านเมืองไว้มาก แต่ผมก็เข้าใจว่า คนจำนวนมากเป็นแค่เบี้ยให้เขากำกับ โดยผู้กำกับตัวเป้ง ๆ
มีไม่กี่ตัวไม่กี่กลุ่มหรอก พอนับหัวได้ ดังนั้น เราจึงควรแยกให้ออก ว่าใครเป็นใคร และการจะ
ดำเนินการใด ๆ ก็ต้องให้อยู่บนความเข้าใจตรงนี้ได้

ครับ ผมมีอคติ เพียงแต่ผมเชื่อว่ามันไม่ได้เกิดจากความโลภ โกรธ หรือหลงใด ๆ ผมเชื่อว่ามัน
เป็นฉันทาทิฎฐิ ไม่ใช่มิจฉาทิฎฐิ เพราะ เป็นสิ่งที่อยู่บนเจตนาดี หวังดีแด่ทุกคนทุกฝ่าย แม้ว่าจะ
มีความไม่พอใจบางคนบางกลุ่มที่มีส่วนทำให้บ้านเมืองย่ำแย่ขนาดไหนก็ตาม การคิดก็ต้อง
พยายามคิดเผื่อให้พวกเขาด้วย เพราะเราไม่สามารถแก้ปัญหาใด ๆ ด้วยตัวเราเพียงลำพัง
โดยที่คนอื่นไม่ยอมแก้ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในอำนาจ คนที่เคยได้เปรียบ

Paolo Freire นักคิดทางปรัชญาการศึกษาสำหรับผู้ถูกกดขี่ กล่าวว่า ผู้กดขี่นั้น นอกจากเป็น
คนที่มีจิตใจคับแคบกดขี่เอาเปรียบและมองไม่เห็นผู้อื่นเป็นมนุษย์เท่าเทียมกับตนแล้วนั้น แท้
จริงแล้วยังเป็นคนอ่อนแออย่างยิ่ง พวกนี้อ่อนแอและกลัวจะสูญเสียความได้เปรียบ กลัวจะถูก
เอาคืน กลัวการเปลี่ยนแปลง และกลัวต่าง ๆ นานา ดังนั้น พวกนี้จะไม่สามารถช่วยตัวเองให้
หลุดพ้นจากจิตใจที่ต่ำและเคยชินกับการเอาเปรียบหรือกดขี่ได้ คนที่จะสามารถช่วยตัวเองให้
หลุดพ้นจากการมองคนอื่นหรือถูกมองว่าเป็นทาสไพร่ต้อยต่ำกว่าตนและจากการกระทำการ
เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่เคยถูกกดขี่มาก่อนเท่านั้น ดังนั้น เราจึงสังเกตุเห็นได้
ว่า คนอย่างอภิสิทธิ์ แม้ว่าจะได้เปรียบทางการศึกษามากปานใด ได้อภิสิทธิ์ในชีวิตมามาก
เพียงใด เขาก็จะไม่สามารถเห็นในสิ่งที่นายกทักษิณเห็น ไม่สามารถพูดออกมาจากหัวใจที่เข้า
ใจชีวิตความเป็นมนุษย์ได้อย่างคุณณัฐวุฒิ และเมื่อเรานึกกลุ่มคนในสถาบันพระมหากษัตริย์ที่
ถูกป้อยอ เอาใจด้วยคำและการกระทำ จนแทบไม่เป็นมนุษย์อยู่แล้วนั้น พวกเขายิ่งต้องการ
ความช่วยเหลือจากพวกชาวบ้านร้านช่อง คนเดินดินกินข้าวแกงอย่างพวกเรา หรือจะยก
ตัวอย่างเช่น พลเอกเปรม ซึ่งเคยชินอยู่กับระบบที่มีลูกน้องคอยเลียแข้งเลียขา และยิ่งขึ้นไป
อยู่คู่ราชบัลลังก์ เขาก็ยิ่งไม่สามารถรู้สึกถึงความเป็นคนเดินดินได้เหมือนเดิม เขาต้องการ
ความช่วยเหลืออย่างยิ่ง เมื่อมองถึงคนอย่างสนธิ ล็มทองกุล นี่ก็ยิ่งน่าสงสาร เพราะเขาเป็น
คนทะเยอะทะยานและใช้พรสวรรค์ตนเองในทางที่ผิด คือสร้างเครื่อข่ายอำนาจและขยาย
อำนาจออกไปเพื่ออิทธิพลส่วนตัวและการสร้างแผนคอยแบล็คเมล์ผู้คนเพื่อสู่อำนาจ เมื่อทำ
สำเร็จ เขาก็หลงตัวเองจนยอมรับที่จะแพ้ใครไม่ได้ ความโกรธ เกลียด โลภ และหลงของเขา
จึงหนักและแรงเกินกว่าจะเยียวยา เขาเป็นเหมือนคนเป็นโรคมะเร็งทางศีลธรรมขั้นสุดท้ายแล้ว
นะครับ ไม่มีทางช่วยตนเองได้ หรือจะมองนักธุรกิจอย่างคุณวิกรมนี้เล่า ประสบการณ์การ
ต้องต่อสู้กับระบบที่กดขี่ชีวิตเขาอยู่ ทำให้เขาอาจจะเรียนรู้อะไรได้ดีขึ้นและง่ายกว่า แต่ด้วย
สันดานการขี่ผู้อื่นมามาก เขาเองก็คงยังต้องการได้รับการปลดปล่อยต่อไป และคนที่จะปลด
ปล่อยคนอย่างพวกนี้ได้ดีที่สุด ไม่ใช่ใครครับ ชาวบ้านร้านช่อง หรือคนชั้นกลางถึงชั้นสูงที่มี
หัวใจเพียงดิน เคียงรากหญ้านั่นเอง เพราะคนพวกนี้ ผ่านการตรากตรำจ่ำทนมามาก เขามีความ
เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกชา อันเป็นธรรมสำหรับพรหม หรือธรรมสำหรับผู้นำ เสียงของ
คนรากหญ้าหรือคนที่สนับสนุนคนยากคนจน ที่อยู่บนรากฐานความรัก หรือพรหมวิหารสี่นี้
แหละครับ ที่จะช่วยให้คนที่เคยกดขี่ได้สำนึก ได้เรียนรู้และปรับตัวในที่สุด

แต่การจะทำอย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในระยะที่เรายังเผชิญหน้า และฝ่ายผู้กดขี่ยัง
ไม่รู้สึกถึงผลกรรมของพวกเขาโดยตรงมากพอ และยังมีจิตใจโหดเ*****้ยมที่จะทำร้ายชาวราก
หญ้าข้าติดดินในสายตาพวกเขา แต่ก็หวังว่า คนที่อยู่เบื้องหลังม๊อบ คงเรียนรู้ได้จากความ
เสื่อมเฉพาะตนและการสูญเสียทรัพย์สินตลอดจนความสุขและสันติในใจของตนไปมากพอ
แล้ว ส่วนนักธุรกิจและกลุ่มผลประโยชน์ทั้งหลายทีรวมหัวกันทำการอันเป็นปฎิปักษ์ต่อการ
พัฒนาบ้านเมืองและการค้าขายกับเพื่อนร่วมโลก ป่านนี้คงมิต่างจากคุณวิกรมมากนัก ส่วนคนสี
เหลืองที่เป็นชาวบ้านหลงผิดนั้นเล่า ก็คงเริ่มได้คิด ว่าสิ่งที่เคยหลงมานานนั้น มันเป็นยาพิษที่
กำลังออกผลร้ายแรง แต่ก็มีหลายส่วนของคนที่มีจิตใจกดขี่ผู้อื่นที่ยังคงจมปลักอยู่กับความ
โลภ โกรธและหลง และยังมีจิตใจหยาบกระด้างและรุนแรงอยู่ คนพวกนี้แหละที่เป็นโจทย์ให้
เราต้องแก้ เราต้องการให้เขากลายเป็นคนมีสติที่อุดมด้วยเมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา ที
สอดคล้องกับแนวทางแห่งเสรีประชาธิปไตย การดุด่าว่ากล่าว การประจาน การทำร้ายรุนแรง
ฯลฯ ย่อมไม่ใช่วิถีที่ถูกต้อง ย่อมไม่ใช่ทางออกที่แท้จริง การให้อภัยจังเป็นสิ่งที่ยากเหมือน
ยาขมที่พวกเขาคนสีแดง ที่มีแต่ยอม ยอม ยอม โดยไม่ใช่เพราะเราโง่ แต่เพราะเราสงสาร
ประเทศชาติ เราคิดมากกว่าพวกที่จิตใจหยาบกระด้างชอบกดขี่เอาเปรียบเหยีบบย่ำต่างหาก
แต่เราก็ต้องให้อภัยและรักษาสิ่งที่เราอยากให้เกิด คือ เมตตา กรุณา มิทิตาและอุเบกขาและ
อื่น ๆ อีกมากมายที่เราต้องมีในสังคม เพื่อให้สังคมเดินหน้าต่อไป ดังที่ท่านคานธี ได้กล่าวไว้
ว่า

"We must become the change we want to see."
เราต้องเปลี่ยนตัวเราให้เป็นอย่างที่เราใฝ่ฝีนอยากเห็นก่อน

นั่นคือ หากเราอยากให้สังคมสันติสุข เราต้องมีสันติสุขในตัวเองและแสวงสันติสุขก่อน

และนี่คือสิ่งสำคัญอย่างยิ่งใหญ่ที่คนสีแดงและแกนนำทำถูก คือเราเอาอหิงสธรรม เป็นเครื่องชี้
นำการต่อสู้ เราต้องรักษาตรงนี้ไว้ให้ดี เพราะการฆ่าฟันเมื่อเริ่มแล้ว มันจบยาก การเริ่มมันไม่
ยากนะครับ แต่การเลิกนั้น มันจะยิ่งยากเป็นร้อยเท่าทวีคูณ


คนที่เข้มแข็งจริง ๆ เท่านั้นที่จะให้อภัยได้ นี่ก็เป็นสิ่งทีท่านคานธีกล่าวไว้ เราต้องถามตัวเรา
เองว่า เราให้อภัยคนที่อยู่เบื้องหลังม๊อบได้ไหม? เมื่อให้อภัยแล้ว เราจัดที่จัดทางให้เขาอยู่พอ
สมฐานะและไม่มาเป็นยาพิษให้กับระบอบได้ไหม? เราให้อภัยคนสีเหลืองที่หลงผิดได้ไหม?
เราให้อภัยนักการเมืองที่ทำผิดชั่วได้ไหม? แม้ว่าเราไม่สามารถยกความผิดให้กับใครได้ แต่
เราสามารถลดความรู้สึกโกรธแค้น ลดการก่นด่าอย่างไม่สร้างสรรค์ แล้วหันมามีบทสนทนา
ร่วมกันบนพื้นฐานพรหมวิหารสี่ให้ได้ เมื่อเรามีความจริงเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหาที่ทำให้เมือง
ไทยเราก้าวมาเกือบแปดสิบปีแบบปลงทาง เมื่อเรารู้ว่าใครกดขี่ใครถูกกดขี่แล้วผลเสียมันเป็น
อย่างไร เมื่อเรารู้ว่า สังคมที่ให้เกียรติและความเสมอภาคมันดีอย่างไร และเมื่อเรามีความจริง
จากใจของคนที่เป็นผู้ถูกกดขี่ที่เข้มแข็ง เป็นธรรม มีอารยะและสูงกว่าอยู่ในตัวเราแล้ว เราก็
ควรพัฒนาและใช้มันให้เกิดประโยชน์ในเชิงสร้างสรรค์ที่สุด


เราทำอะไรได้หลายอย่างนะครับ ลองคิดดูแล้วจะเห็นว่า เรามีทางเลือกเป็นร้อยเป็นพันที่ทำ
ได้ ผมเขียนบทความที่พยายามฝากถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อให้ทราบว่า อย่าได้กลัว
ประชาชนคนไทย ขอให้ทรงสำนึกว่า สิ่งที่เป็นอยู่มันมีที่มาที่ไปที่เกี่ยวเนื่องด้วยความจำเป็น
ของการต้องปรับพระราชฐานะ ผมเขียนถึงอภิสิทธิ์ตั้งแต่สมัยการเมืองยุ่งเหยิง พยายามให้
อภิสิทธิ์กลายเป็นพระเอกด้วยการยอมรับความพ่ายแพ้และลงเลือกตั้งเมื่อก่อนการรัฐ
ประหาร ผมพยายามพูดกับทุกคนไม่ว่าสีไหน ให้เห็นมากกว่าแค่อารมณ์ความเชื่อและความ
รู้สึกส่วนตน หรือการมองประเด็นด้วยอคติ ซึ่งผมยอมรับว่ามันยาก และการให้อภัยมันยิ่งยาก
แต่ พี่น้องสีแดงอาจจะคิดว่า การยอมและพยายามทำดีนั้น มันจะไร้ผลและเราจะพ่ายแพ้ แต่
ท่านคานธีก็ได้สอนให้เราสร้างพลังมหาประชาชนควบคู่ไปด้วย และอหิงสานั้น เป็นวิธีการที่ไม่
รุนแรง แต่ผลมันรุนแรงยิ่งกว่าสิ่งใด และวิธีการมันมีมากมายยิ่งกว่าสะเก็ดระเบิดปรมณูด้วย
ซ้ำ เราต้องฉลาดที่จะทำสิ่งเหล่านั้นไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การก้าวไปสู่การสร้างมิตร สร้าง
ความเข้าใจ สร้างความรู้สึกว่าศัตรูทางความคิดแต่เป็นเพื่อนร่วมชาตินั้นเป็นพวกเรา มากกว่า
เน้นคำว่าพวกมัน และอะไรอีกมากมายที่เราทำได้ มันเป็นทางที่วิเศษที่สุดที่เราทำได้ ยิ่งเรา
ทำกันจนเป็นนิสัยและเป็นวงกว้าง มันยิ่งจะเกิดผลชัดเจน หากเรารอคอยจนเจ็บปวดและกลัว
ว่าจะต้องเจ็บปวดซ้ำซาก ต้องสูญเสียและล้มหายตายจากกันอีก ก็จงคิดไว้ว่า ไม่มีใครทำร้าย
เราได้แท้จริงหรอก หากเราไม่ยอมและเราเข้มแข็งพอ ดังที่ท่านคานธีท่านพูดด้วยว่า
"ไม่มีใครทำร้ายเราได้ หากเราไม่ยอมให้พวกเขาทำร้ายเรา"

การเคลื่อนไหวประชาธิปไตยในไทย ไม่ใช่เรื่องง่ายครับ ในระดับที่หยาบ เราคงต้องดำเนินการ
อย่างที่เราทำ แบบดิบ ๆ แบบเผชิญหน้าด้วยเหตุผล แบบมีการถกเถียง แต่เราทำถูกแล้วที่เน้น
เหตุผลและเรียกร้องอารยธรรมเป็นที่ตั้ง แต่ในระดับที่ลึกซึ้ง ละเอียดอ่อนและถาวรแล้ว ผม
เชื่อว่า ธรรมะของมหาตมะ คานธี ควรค่าแก่การใส่ใจพิจารณาและนำไปใช้อย่างยิ่ง ผมไม่หวัง
ให้ทุกท่านเข้าใจและเห็นด้วย แต่อยากเสนอเพื่อให้ทุกท่านได้คิด ทุกสิ่งที่ท่านตัดสินใจทำ
หรือไม่ทำ และวิธีการที่ท่านทำสิ่งใด ๆ นั้น มันมีค่าต่อการเปลี่ยนแปลงรอบตัวท่านเสมอ...
อย่าดูถูกพลังในตัวของท่าน จงใช้พลังอย่างสร้างสรรค์ มีสติ และอยู่บนรากฐานของความรัก
เถิด พี่น้องไทยทุกหมู่เหล่า


-----------------------------

แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2009-03-17 20:56:03


โพสต์โดย : fanny
ID # 1647561 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 19:40:18 _ ปิดข้อความ ex-link



fanny เห็นด้วยกับบทความนี้....ไม่ได้จุดใดที่เห็นต่างไป
เพียงแต่มีบางมุมที่อดน้อยใจไม่ได้ว่า

ยามที่พวกคนรากหญ้าร้องเรียกความสมานฉันท์ ร้องเรียกความเป็นธรรม
ร้องเรียกให้เห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติโดยส่วนรวม.....คนชั้นนำของประเทศเหล่านี้ ไม่เคยไยดี กลับทำในสิ่งตรงกันข้าม ฟาดงวงฟาดงา แบบไม่แคร์ว่าจะเกิดความเสียหายแก่บ้านเมืองเช่นไร

แต่ เมื่อถึงคราวที่ฝ่ายเค้าใกล้ถึงมุมอับ หรือเพลี่ยงพล้ำ....พวกคนชั้นนำเหล่านี้ก็จะออกมาเรียกร้องให้เห็นแก่ประเทศ ชาติบ้านเมือง...เรียกร้องการประนีประนอมทุกครั้ง


มันเหมือนเวลาเรายื่นมือให้เค้าจับเพื่อแสดงความสามัคคี นอกจากเค้าไม่จับแล้ว ยังสะบัดและเอาไม้มาตีหัวเราแตก เลือดไหลอาบ..
พอเราคิดสู้ และเริ่มสู้แบบเอาจริง...และฝ่ายเค้าเริ่มเพลี่ยงพล้ำ...
เค้าก็จะออกมาขอจับมือ ตะโกนหา "ความสามัคคี"

fanny ไม่ได้เห็นต่างนะคะ เห็นด้วยกับบทความนี้ที่เสนอทางออกที่ดีแก่สังคม.....เพียงแต่มันอดนึกในมุมนั้นไม่ได้..


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2009-03-17 19:47:32


โพสต์โดย : piangdin
icon ID # 1647579 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 19:52:04 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


สวัสดีครับ คุณ Fanny ขอบคุณที่สนใจครับ
อาการที่ฝ่ายผู้ปกครอง ฝ่ายอำมาตย์ ทำผิดคิดชั่วจนเกินเลย
ผิดทำนองคลองธรรม และผิดแม้กระทั่งกฎหมายระหว่างประเทศ จนบ้านเมือง
เสียหายมหาศาลนั้น มันเข้ากับกฎที่ผมบอกไว้ว่า พวกนี้อ่อนแอมาก ไม่สามารถ
เข้าใจชีวิตที่มีมนุษยธรรมและไม่สามารถเปลี่ยนตนเองได้เอง เราจึงต้องช่วย
เหลือพวกเขา ซึ่งตรงนี้แหละที่สำคัญ คือ เราจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร???

แค่คิดอยากจะช่วยมันก็ยากอยู่แล้ว เพราะเราโกรธแค้นมากมาย
จะให้ไปคิดเผื่อพวกเขาอีก... มันยากครับ แต่หากทำได้ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
แต่ประวัติศาสตร์ไม่ได้มีตัวอย่างเช่นนี้มากมายนัก อินเดีย และ
อัฟริกาใต้ ดูเหมือนจะเป็นตัวอย่างที่พอเห็นได้ชัดที่สุด แต่ก็ไม่ใช่จะได้มาง่าย

ผมเชื่อว่าประเทศไทยน่าจะเป็นไปได้ เพราะพื้นฐานนิสัยคนไทย
ยังมีความเป็นพุทธอยู่มากกว่าประเทศต่าง ๆ ค่อนโลก


โพสต์โดย : สาวน้อยคลองรังสิต
ID # 1647580 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 19:52:05 _ ปิดข้อความ ex-link


โลกแห่งอุดมคติ และโลกแห่งความจริง

มันแตกต่างกันมากเหลือเกินท่าน


ทุกวันนี้ หลังจากมหาตมะคานธีถูกลอบสังหาร

ชาวอินเดียก็ยังต้องเจ็บปวดอยู่เหมือนเดิม....

ด้วยความเคารพ


โพสต์โดย : piangdin
icon ID # 1647587 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 19:58:27 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


คุณพูดถูกเลยครับ คุณสาวน้อยคลองรังสิต
ผมไม่ได้บอกเลยว่ามันง่าย และมันไม่เจ็บปวด

คุณลองนึกถึงประวัติของพระเยซูคริสต์สิครับ

หากจะเอาให้ใกล้ตัว ก็ขอให้นึกถึงพระเวชสันดรนะครับ

อันนี้เป็นธรรมที่สูงมาก ผมเองก็ไม่แน่ใจว่า จะเอามาประยุกต์ได้ขนาดไหน
เพราะคนที่จะนำตรงนี้ได้ จิตใจและบารมีต้องสูงมาก ๆ
ด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่มีพระเยซู เมนเดลล่า คานธี หรือแม่ชีเทเรซ่า มากกว่า
ที่เราเห็น



แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2009-03-17 20:00:53


โพสต์โดย : หัวเทียน
icon ID # 1647590 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 20:00:08 _ ปิดข้อความ ex-link


เป็นแนวทางที่ดี แต่ผมยังมองไม่เห็นว่าจะมีคนไทยสักคนที่จะมีบารมีมากพอ มาเป็นผู้นำที่จะเดินตามแนวทางนี้

อัครมหาบุรุษอย่างคานธีไม่ใช่จะเฟ้นหาตัวขึ้นมาได้ง่าย แนวทางอหิงสาของท่านมันยากมากที่จะปฎิบัติ ท่านโดนตีจนเลือดอาบไม่รู้กี่ครั้งท่านก็ยังไม่ตอบโต้เพราะยึดหลักอหิงสา จนคนที่ตีท่านไม่กล้าที่จะตีต่อ ผมคนหนึ่งที่ยอมรับเลยว่าไม่มีความอดทน และความกล้าหาญเช่นนี้


โพสต์โดย : ดวงจำปา
ID # 1647594 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 20:01:57 _ ปิดข้อความ ex-link


ชื่นชมในความรู้ความสามารถ และจิตวิญญาณของการเป็นนักต่อสู้ของคุณเพียงดินมากค่ะ

ดิฉันติดตามกระทู้ของคุณเพียงดินอยู่ตลอด
มีบทความจำนวนมากของคุณที่ดิฉันได้เก็บบันทึกไว้
รวมทั้งบทความก่อนหน้านี้และบทความนี้

หนทางเส้นนี้อีกยาวไกลเหลือเกิน
ดิฉันดีใจที่เห็นคุณกลับมาโพสต์ใหม่
นี่แหละค่ะคนจริง ต้องลุกขึ้นได้ไวอย่างมีชั้นเชิงแบบนี้
โปรดถนอมกำลังกาย กำลังใจ เดินร่วมเส้นทางกันต่อไปนะคะ











โพสต์โดย : เที่ยวไปตามตะวัน
icon ID # 1647597 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 20:04:36 _ ปิดข้อความ ex-link


อ่านเฉยๆๆ


โพสต์โดย : piangdin
icon ID # 1647600 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 20:05:59 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


สวัสดีครับ คุณหัวเทียน

คนสีแดงเรา ได้ก้าวมาไกลมาก ในแง่การชูประเด็นอหิงสา
หากเป็นประเทศอื่น เรามีการฆ่าฟันกันไปแบบเลือดนองแผ่นดินไปแล้วครับ
ผมเชื่อว่าหากมีคนที่เข้าใจหลักตรงนี้ และหัวใจใหญ่กว่าคนทั่วไป
บารมีสูง และสติปัญญาในการนำมวลชนเยี่ยม ตลอดจนความสามารถในการ
สื่อสารกับกลุ่มผู้กดขี่มีสมบูรณ์ละก้อ เราอาจจะได้เห็นสิ่งที่เป็นอุดมคติ
ในแนวประชาธิปไตยแบบพุทธนะครับ แนวคิดแบบราชประชาสมาศรัยนั้น
ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดเลย แต่ราชาต้องเรียนรู้ที่จะถ่อมองค์ และยินยอมที่จะ
เสียอวัยวะเพื่อรักษาชีพ และมองเห็นความอยู่เย็นเป็นสุขของอาณาประชาราษฎร์
ยิ่งใหญ่กว่าความเป็นอมตะและมั่งคั่งเฉพาะวงศ์ตระกูลของตน อันนี้
เป็นเรื่องไม่ง่าย เราต้องดูว่า คนที่เกิดมามีบุญเหนือคนทั่วไป จะทำตัว
อย่างพระเวชสันดร หรือชูชก?



โพสต์โดย : The Kingdom
ID # 1647603 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 20:09:02 _ ปิดข้อความ ex-link


สวัสดีครับคุณเพียงดิน ทราบไหมว่าคุณเพียงดินทำให้ผมมีงานเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง คือ ต้องคอยเก็บบันทึกกระทู้ของคุณเพียงดินเอาไว้ เพื่อเป็นหลักฐานการลุกขึ้นสู้ด้วยเหตุผลของประชาชนธรรมดาในส่วนหนึ่ง และความประทับใจในความมุ่งมั่นเพื่อสังคมที่ดีกว่าของคุณอีกส่วนหนึ่ง
คุณเพียงดินนำเสนอเรื่องของการแสดงความเมตตาต่อกัน ซึ่งท้ายสุดจะนำมาซึ่งความสงบสุขของสังคมนั้นเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง เรื่องที่ผมพยายามหาคำตอบอยู่ก็คือใครจะเจรจากับใคร เราจะเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ จะมีใครเจรจากับเราไหม การต่อสู้จะลงเอยเช่นไร เพื่อนประชาไทหลาย ๆ ท่านได้คาดการณ์ไว้ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน
ส่วนตัวของผมก็ยังเห็นว่าสังคมประชาธิปไตยจะนำไปสู่ความเมตตาเอื้ออาทรต่อ กันได้มากกว่าสังคมแบบอื่น สุดท้ายแม้ทุกท่านจะแตกต่างกันไม่ว่าจะด้านใด หากมีความเมตตาเป็นตัวประสานเราก็จะไม่แตกแยกกัน
ขอบคุณครับ


โพสต์โดย : piangdin
icon ID # 1647605 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 20:09:54 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


ขอบคุณสำหรับไมตรีจิตครับ คุณดวงจำปา เมื่อเจตนาของผมไม่ได้มาเพื่อ
เสริมอัตตาตัวเอง แต่มาเพื่อหาโอกาสทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อบ้านเมือง
ผมคงไม่ทิ้งโอกาสนี้ไปง่าย ๆ และไม่ทำลายโอกาสของพี่น้องเราจำนวนมากาย

ประชาไทมันมีชีวิตครับ คนที่เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่แล้ว หนีไปไหนยาก
ดูอย่างท่านยักษ์หลงทาง พิเภกนั่นปะไรครับ

ขอบคุณที่กรุณาบอกว่าได้แวะมาอ่านครับ คุณเที่ยวไปตามตะวัน




โพสต์โดย : สาวน้อยคลองรังสิต
ID # 1647614 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 20:15:40 _ ปิดข้อความ ex-link


เห็นด้วยอย่างยิ่งกับท่านเพียงดินที่ใช้ธรรมะแก้ปัญหา

ตัวเองก็พยายามให้อภัยและอโหสินับครั้งไม่ถ้วน

ถ้าทุกคนคิดได้อย่างเราๆท่านๆก็คงดี

วันนี้คงไม่ต้องบอบช้ำกันถ้วนหน้าอย่างนี้




โพสต์โดย : หัวเทียน
icon ID # 1647619 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 20:18:18 _ ปิดข้อความ ex-link


คุณเพียงดินครับ ถ้าชนชั้นปกครองของไทยมีเมตตาและรักมวลชนจริงเหตุการณ์เช่น 14 ตุลา 6ตุลา และพฤษภาทมิฬ คงไม่เกิดขึ้น การปิดสนามบินคงไม่มีใครกล้าทำ ประวัติศาสตร์มันชี้ให้เห็นอนาคตครับ

แต่ผมก็เอาใจช่วยแนวคิดของคุณนะ


โพสต์โดย : ป้านินจา
icon ID # 1647621 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 20:19:47 _ ปิดข้อความ ex-link


มาให้กำลังใจคุณเพียงดินค่ะ

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ....
และกระทู้คุณภาพนะคะ....!!!




โพสต์โดย : piangdin
icon ID # 1647630 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 20:26:21 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่กระทู้ก่อนครับ คุณป้านินจา

คุณหัวเทียน และคุณสาวน้อยคลองรังสิต ครับ เราหยุดแค่ความรู้ไม่ได้ครับ
เราต้องพยายามเอาความรู้ไปประยุกต์ใช้ครับ คำถามที่เราต้องช่วยกันตอบ
คือ

เราจะทำให้พวกชนชั้นปกครอง อำมาตย์ และราชวงศ์ได้เกิดสำนึกว่า
คนเราเกิดแก่เจ็บตาย และเป็นสัตว์โลกร่วมทุกข์กันทั้งสิ้น
การทำร้ายคนอื่น ก็คือทำร้ายตนเอง
และเมื่อมีปัญหา แล้วตนเองมีปัญหา ก็ต้องรู้จักละ ละ และเลิก
ในสิ่งที่ไม่เป็นคุณกับตนและผู้อื่น

การจะทำอย่างนี้ ต้องอาศัยความเข้มแข็งของหัวใจและความเข้าใจในธรรม
ระดับหนึ่ง แต่คนเราอยู่กันด้วยอารมณ์และเอาตัวตนไปปะทะกัน ภาพที่เรา
เห็นจึงวุ่นวายไม่รู้จักจบ... เมืองไทยเรา อาจจะต้องหันมาหาทางเลือก
ที่เหนือการเมือง เพื่อหาทางลัดในการแก้ปัญหาครับ

เหมือนเวลาเกิดไฟรั่วลงบนพื้นน้ำที่มีคนอยู่ในน้ำหกสิบกว่าล้านคน
วิธีการแก้ ไม่ใช่การกระโดดขึ้นบกแล้วผลักไสคนอื่นให้จมตายหายจาก
แต่ต้องหาทางวิ่งไปที่ปลั๊กไฟครับ...


โพสต์โดย : putai
icon ID # 1647638 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 20:31:59 _ ปิดข้อความ ex-link


คนเรามองเห็นแต่ความผิดของคนอื่น ส่วนความผิดของตนเองก็พยายามเอาคุณธรรม หรือจริยธรรมมาฉาบปิดทับไว้ กอบโกยผลประโยชน์จากความศรัทธา และความโง่งมงายโดยไม่แบ่งปันมายังประชาชนคนรากหญ้า การที่จะให้ผู้มีบารมีและอัตตาสูง จะมายอมรับความคิดของประชาชน และสำรวจตัวตนของตัวเองคงเป็นไปไม่ได้ เพราะได้โฆษณาชวนเชื่อมานานและยัดเยียดความศรัทธา และความดีที่ไม่มีอยู่จริง ถ้าจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยเต็มใบก็ต้องรอให้ผู้มีบารมีหมด ความศรัทธา หรือหมดอายุขัยไปก่อน


โพสต์โดย : Tuxedo
ID # 1647642 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 20:34:15 _ ปิดข้อความ ex-link


ได้เวลา ล้างแผ่นดินแล้วอะครับ

กรรมวิธีเดิมๆๆ ที่เคยทำต้องไม่ทำอีก

ต้องเอาคนที่ทำความผิดมาลงโทษ

ให้เป็นเยี่ยงอย่างแล้วครับ

ไม่งั้นแผ่นดินนี้ก็ Fluctuation เหมือนเดิม



โพสต์โดย : piangdin
icon ID # 1647650 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 20:37:52 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


สวัสดีครับ คุณputai
พวกที่อยู่ในรั้วในวังและคนที่เกาะรอบฐานราชบัลลังก์เขาได้ข้อมูลจากหัวใจ
พวกเราแค่ไหน พวกเขาอาจจะไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ในสิ่งที่เป็นหลักธรรมพื้นฐาน
เพราะสิ่งที่พวกเขาได้ยิน อาจจะมีแค่คำสรรเสริญเยินยอ คำเพ็ดทูล คำยุแยง
ให้เห็นคนบางคน บางกลุ่มเป็นศัตรู ยิ่งอยู่ห่างจากประชาชน ยิ่งมีความกลัว
ยิ่งกลัว ก็ยิ่งปกป้องตนเอง และยิ่งปกป้องตนเอง ก็ยิ่งทำร้ายคนหมู่มาก

การจะแก้ปัญหา เราจึงควรยื่นหัวใจไปช่วยเขา
แต่ต้องเอากำลังของมวลมหาประชาชน ช่วยจัดระเบียบ
ช่วยวางของในบ้านเราให้ถูกที่ถูกทางครับ

สวัสดีครับ คุณTuxedo ขอบคุณที่คุณทำให้ผมได้รับข่าวสารอย่างไม่บกพร่อง
คงใช้เวลามากมายเพื่อการนี้ นับถือน้ำใจจริง ๆ ครับ
ผมเองก็เชื่อว่า เราต้องชำระล้างบ้านเราครับ แต่จะเอาเลือด หรือจะให้
คนผิดไปตักน้ำมาล้างตัวเอง แล้วล้างบ้านช่วยกัน จากนั้น ก็ทำตัวเสียใหม่
เรื่องใครผิดใครถูก ผมว่าเมืองไทยยังพอจะมีอะไรที่ทำให้เราหาทางออกได้
การให้อภัยโทษแล้วเริ่มต้นใหม่แบบคาดโทษไว้ แล้วเขียนกฎระเบียบแบบ
เข้มข้น จัดระเบียบบ้าน ระเบียบคนใหม่ นั่นแหละจึงจะเป็นการเริ่มต้นที่แท้จริง
ไปสู่เส้นทางอนาคตอันวัฒนาถาวร

คืนนี้ผมขอตัวนะครับ ผมมีธุระต้องทำอยู๋หลายชั่วโมง กว่าจะกลับมา
ก็คงดึกเกินไปสำหรับเวลาเมืองไทย

ขอบคุณที่แวะมาอ่าน และจะขอบคุณอย่างมาก หากพี่น้องจะช่วย
กันคิด ช่วยกันมอง ทำให้ประเด็นเริ่มต้นจากความคิดอันลึกซึ้ง
ของมหาบุรุษคานธี ได้กลายเป็นทิศทางที่ชัดเจนสำหรับการแก้ปัญหา
แบบไทย ๆ ครับ

แล้วสัญญาว่าจะแวะมาอ่าน และจะเป็นเพื่อนเรียนรู้กับพี่น้องประชาไท
ไปอีกนานครับ

ราตรีสวัสดิ์ล่วงหน้าครับ
เพียงดิน

แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2009-03-17 20:44:06


โพสต์โดย : รักเสรีประชาธิปไตย
icon ID # 1647655 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 20:42:38 _ ปิดข้อความ ex-link


สวัสดีครับ คุณเพียงดิน
ผมดีใจมากและเป็นไปตามทีึ่คาดไว้ไม่มีผิดว่าคุณมีความมุ่งมั่นไม่มีถอยเช่นเดียวกับผม
กระทู้เรื่องเดียวกัน 4 กระทู้ของผม วันนี้ กระทู้แรกยังคงอยู่ กระทู้ 2-3 ถูกลบ
กระทู้ที่คุณมาชมคือกระทู้ที่ 4 ผมมีเทคนิคในการเสนอกระทู้แตกต่างกันดังที่คุณเห็นตัวแดงที่ผมเน้นคือกระทู้ที่โดนลบ
วันก่อนผมคาดไว้ล่วงหน้าแล้วว่ากระทู้คุณอาจถูกลบ และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
เช่นเดียวกับที่ผมโดน 2 กระทู้ในวันนี้ แต่ผมก็ยืนยันสิทธิที่จะโพสต์ต่อในชื่อใหม่ ความเห็นเดิมเช่นเดียวกับที่คุณทำเช่นกัน
ผมชอบกระทู้นี้ของคุณมากครับ สมแล้วที่ผมได้ยกย่องคุณว่า
"ผู้กล้าเรืองปัญญา"



โพสต์โดย : ดาวราย
ID # 1647660 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 20:44:27 _ ปิดข้อความ ex-link


พยายามใหม่ โพสต์แล้วเข้าไม่ได้ มันดีดกระเด็นข้อความหายไปเลย

จะเข้ามาใหกำลังใจคุณเพียงดิน ด้วยกลัวคุณจะหนีจาก ปชท ก็จำทำให้ความคิดดีๆ ของคุณ หายไปด้วย

คน เราบางทีความน้อยใจก็เกิดบ้าง เห็นใจ และเข้าใจความปรารถนาดีของคุณต่อชาติ บ้านเมืองแต่มันอาจสวนทางกับผู้ใช้อำนาจรัฐ และคุณเป็นคนเสรี ก็เลยเหมือนจะถูกจำกัดความคิด เลยเป็นเหมือนจุดแข็งที่ไม่ยอมงอ เลยจะลอยไปที่อื่น

สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว(ใน ปชท) ขอให้ตั้งกระทู้ และโพสต์ต่อไปต่ะ รออ่านเสมอ...


โพสต์โดย : Hamiya
icon ID # 1647663 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 20:45:24 _ ปิดข้อความ ex-link



รีบอ่านอย่างรวดเร็ว กลัวโดนอุ้มหายปายอีกอ่ะค่ะ ลุงเพียงดิน

อ่านแล้ว รู้สึกได้ถึงความหวังดีและห่วงใยพี่น้องคนไทยและชาติไทยของลุง

แต่ทำใจยากจังค่ะ อ้ายคำว่า อภัยเนี่ย

แล้วววคิดอ่ะป่าวว่า พวกเค้าจะคิดดั้ยจิงๆ ไม่ช่าย หัวเราะชอบใจกับพวกรากหญ้าที่คิดโง่ๆ

มานเปนยังงี้มากี่สิบปีแล้วววอ่ะ คิดหรือค๊ะ ว่าพวกเค้าจะเปลี่ยนแปลงกานง่ายๆ

แล้วววเราก้อต้องกลับปายอยู่ในสภาพเดิมต่อไปเรื่อยๆ อีกกี่สิบปีก้อม่ายรุ

คุณยายเคยสอนว่า เจ็บแล้ววววต้องจำ ม่ายงั้นก้อเจ็บซ้ำซากอีก

ที่คิดอย่างงี้ ม่ะช่ายม่ะเห็นด้วยกะลุงน๊ะค๊ะ

แต่เข็ดแล้ววววจ้า








โพสต์โดย : fanny
ID # 1647667 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 20:49:49 _ ปิดข้อความ ex-link


โพสต์โดย : piangdin
ID # 1647579 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 19:52:04 _ ปิดข้อความ


สวัสดีครับ คุณ Fanny ขอบคุณที่สนใจครับ
อาการที่ฝ่ายผู้ปกครอง ฝ่ายอำมาตย์ ทำผิดคิดชั่วจนเกินเลย
ผิดทำนองคลองธรรม และผิดแม้กระทั่งกฎหมายระหว่างประเทศ จนบ้านเมือง
เสียหายมหาศาลนั้น มันเข้ากับกฎที่ผมบอกไว้ว่า พวกนี้อ่อนแอมาก ไม่สามารถ
เข้าใจชีวิตที่มีมนุษยธรรมและไม่สามารถเปลี่ยนตนเองได้เอง เราจึงต้องช่วย
เหลือพวกเขา ซึ่งตรงนี้แหละที่สำคัญ คือ เราจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร???

=============================
ประเด็นที่ fanny ไฮไลท์ ที่คุณเพียงดินเขียน ตรงนี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจมากค่ะ..

คือ คน (อย่าง fanny) ที่ยังติดโกรธอยู่กับประเด็นความไม่เป็นธรรมที่ชนชั้นนำกระทำต่อคนรากหญ้า ก็ให้ใช้ประเด็นที่ว่า "คนพวกนี้คือคนที่อ่อนแอ และยังคิดไม่ได้ และเราควรใช้เมตตาจิตเข้าไปช่วยเหลือ"

fanny เข้าใจแล้ว และจะพยายามทำใจให้เป็นแบบนั้น เพื่อลดความโกรธในใจ

fanny ว่า คนรากหญ้าเป็นคนสไตล์ "พูดง่าย ไม่เรื่องมาก" คงจะร่วมมือกันทำได้
แต่ อย่างไรก็ตาม พวกคนรากหญ้าจะทำแต่ฝ่ายเดียวก็คงไม่สำเร็จ หวังว่าคนชั้นนำ คงจะลดความเป็นตัวตน และทิฐิลง และมอบความเป็นธรรมให้กับคนรากหญ้าเพื่อสร้างความสมานฉันท์ในสังคม..

fanny ว่า คนรากหญ้าไม่ได้ต้องการ และเรียกร้องอะไรที่มันเกินจริง หรือ เว่อร์ เลย...
เพียงขอความเป็นธรรม ขอที่ยืนอย่างเท่าเทียมในสังคม และให้มีศักดิ์ศรีความเป็นมุษย์เท่านั้น

หวังอย่างยิ่งว่า บทความนี้จะเป็น จุดเริ่มต้นของความสมานฉันท์ ที่แท้จริง
Posted by Jaiseree at 6:58 AM 0 comments
กระทู้ถูกลบของคุณเพียงดิน ประชาไท กรณีวงจรอุบาทว์ผ่านปฎิวัติรัฐประหาร
คุณจีรนุช ได้เตือนผมแล้ว แต่ผมยืนว่่า เป็นสิทธิของผมที่จะต้องพูดเรื่อง...
โพสต์โดย : piangdin
icon ID # 784846 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-16 22:12:09 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


... วงจรอุบาทว์ ที่มีหัวหอกเป็นการปฎิวัติรัฐประหาร

ข้างล่างนี้คือเนื้อความที่ผมเขียนไว้เมื่อเกือบสิบสองชั่วโมงที่แล้ว
กระทู้นี้ถูกลบไป เพราะหัวกระทู้มันหมิ่นเหม่ ผมเห็นใจ
และเข้าใจเจตนาดี ตลอดจนข้อจำกัดที่คุณจีรนุช
ซึ่งเป็นวีรสตรีของคนในโลกประชาธิปไตยและโลก
ไซเบอร์ จึงพยายามดัดเกลาข้อความเล็กน้อย
แต่โดยเนื้อหา ผมขอคงความจริงเอาไว้ครับ ขอยกมาแปะอีกทีนะครับ

ผมขอใช้สิทธิแสดงความคิดเห็นทางวิชาการ และต้องกล่าวถึงความจริง
ตามความคิดเห็นที่บริสุทธิ์ใจ ไม่ได้คิดร้ายกับใคร ดังนี้ครับ

การจะวิพากษ์ประชาธิปไตยไทย โดยโยงไปถึงสถาบันพระมหาษัตริย์จุดเดียวนั้น มันก็ไม่
เชิงจะยุติธรรมเสียทีเดียว เพราะตัวแปรที่เป็นอุปสรรคสำหรับพัฒนาการของประชาธิปไตยไทย
มีอยู่มากกว่าหนึ่งแน่นอน และตัวแปรทั้งหมดก็มีบทบาททั้งด้านบวกและลบร่วมกันเสียด้วย
แต่หลักสำคัญที่ผมใช้วิเคราะห์ตัวแปรที่เกี่ยวข้องก็คือ ความเกี่ยวเนื่องและอิทธิพลของสถาบัน
พระมหากษัตริย์ ซึ่งมีทั้งทางตรงและทางอ้อม หลายกรณี แต่วันนี้ ขอยกมาเฉพาะหนึ่งด้าน
คือ ในด้านที่เกี่ยวข้องกับ "การปฎิวัติรัฐประหาร" อันเป็นบาปที่หยาบและหนักที่สุดต่อการเติบ
โตของประชาธิปไตยไทยและในทุกที่ จนบัดนี้ เราแทบไม่ได้เห็นพฤติกรรมอันหยาบต่ำนี้อีก
แล้วในที่อื่น ๆ ทีเขาเป็นอารยะทางการเมืองแล้ว

ปฎิเสธไม่ได้เลย กับการล้มล้างรัฐธรรมนูญเกือบยี่สิบครั้ง ในระยะเวลาไม่ถึงแปดสิบปี
นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในปี 2475
เป็นอุปสรรคสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการก้าวไปข้างหน้าของประชาธิปไตยไทย และเกือบทุก
ครั้งที่มีการแก้รัฐธรรมนูญ เป็นการกระทำการของคณะก่อการรัฐประหาร โดยแกนนำเป็นทหาร
และหรือตำรวจทั้งนั้น และรัฐบาลที่ขึ้นมาทำการบริหารบ้านเมืองนั้นเล่า หากไมใช่นายพล ก็มัก
เป็นผู้ที่ราชสำนักเห็นชอบและเชื่อใจทั้งสิ้น การปฎิวัติรัฐประหาร เป็นการทำให้ประชาธิปไตยไทย
เหมือนบอนไซ ที่ไม่มีทางโตพ้นไปจากรอบที่เขาดัดให้เป็นไป และในเมื่อการเติบโตมันถูกจำกัด
หรือถูกตีกรอบไว้ การเติบโตจึงไม่สามารถเป็นไปโดยอิสระ โดยการเติบโตและเรียนรู้ของ
นักการเมืองและประชาชน ในการเข้าใจถึงสาระที่แท้จริงของระบอบ ที่ให้ประชาชนอยู่ดีกินดี
และรับผลของการบริหารงานบ้านเมืองโดยตัวแทนที่ประชาชนเลือกเข้าไป ซึ่งต้องแข่งกันทำดี
เพื่อจะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอีกสมัยหน้า

การปฏิวัติรัฐประหารทุกครั้ง เป็นการยัดเยียดแนวทาง เป็นการล้มล้างสิทธิประชาชน
เป็นการปล้นอำนาจไปเสียจากประชาชน จากพรรคการเมืองของพวกเขา และยังเป็นการปล้น
โอกาสในการทำมาหากิน โอกาสเติบโตของประเทศชาติในโลกกว้าง และก็ทำลายโอกาสในการ
อยู่ดีกินดีของประชาชน นี่ยังไม่นับงบประมาณที่เสียหายไปมากมายมหาศาลกับงบประมาณ
ที่ถูกรวบเอาไปกินแบบใครสงสัยไม่ได้ ตรวจสอบไม่ได้ ดังที่เรามักได้เห็นนายพลที่ทำการ
บังอาจยึดอำนาจไปบริหารแบบเบ็ดเสร็จนั้น กลายเป็นคนร่ำรวยเงินชนิดที่มีมากเกินเงินเดือนราชการ
ที่ควรได้ตลอดชีพการทำงานนับเป็นพันเท่าหมื่นเท่า หรือแสนเท่า!

การที่สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันเดียวที่ทำให้คณะปฎิวัติรัฐประหารมีสิทธิชอบธรรม
ในการบริหารประเทศได้ ด้วยการทรงลงพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์นั้น ทำให้สถาบันฯ นี้
กลายเป็นจำเลยร่วมไปกับการกล่าวหากรณีที่ผมตั้งขึ้นนี้ คือ เป็นอุปสรรคของพัฒนาการประชา
ธิปไตยไทย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนอาจเถียงได้ว่า ก็รัฐธรรมนูญเขียนไว้ให้สถาบันฯ
ทำหน้าที่ endorse ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจอธิปไตยทั้งสามนี่นี่นา สถาบันฯ ก็เลยเลี่ยงไม่ได้
อันนี้อาจจะจริงก็ได้ ว่าสถาบันฯ ตกกระไดพลอยโจน [b]แต่การตกกระไดเฉลี่ยเกือบทุก ๆ สี่ปีนั้น มัน
บ่อยเกินไป และพฤติกรรมทางการเมืองของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปฎิวัติรัฐประหารในระยะ
ห้าสิบปีหลังนี้ มันชี้ให้เห็นอะไรที่ชัด เช่น สถาบันฯ มีองคมนตรีที่ยุ่งกับการเมือง คนที่รับตำแหน่งหลังจาก
การปฎิวัติรัฐประหาร มักเป็นผู้ที่ยืนใกล้ราชบัลลังก์เสียทั้งสิ้น เช่น พลเอกเปรม นายอานันท์
นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ฯลฯ ดังนั้น หากจะมีคนตั้งข้อสงสัยว่า สถาบันฯ อาจจะมีส่วนใน
conspiracy ที่อยู่เบื้องหลังพัฒนาการทางการเมืองไทยในทุกระยะที่ผ่านมา ก็ย่อมไม่ผิดนัก

ผมเชื่อโดยสนิทใจว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ จำเป็นต้องเอาตัวรอด โดยต้องเอาใจทหาร
หรือเอาทหารมาอยู่ในคาถา การที่พลเอกเปรม ขึ้นเป็นนายกฯ ในระยะการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์
ที่ไม่เอาสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ให้รกอุดมการณ์ของพวกเขาแน่นั้น เป็นที่เข้าใจได้ว่า
สถาบันฯ จำเป็นต้องทำ ยิ่งนึกถึงสัญญาณอันตรายที่เกิดขึ้นในปี 2475 ก็ยิ่งเข้าใจได้ว่า
สถาบันฯ อยู่ห่างกลุ่มที่มีปืนและรถถังไม่ได้ การเอานายพลไปอยู่ค้ำฐานบัลลังก์ การให้
นายพลทหารไปเป็นแกนสำคัญในคณะองคมนตรี การติดยศพระราชทานกระบี่ การให้มีพิธี
ถวายสัตยาบรรณและสวนสนาม การให้องค์ชายและฟ้าหญิงทรงเกี่ยวข้องกับสถาบันผลิต
นายร้อย ฯลฯ เหล่านี้ชี้ให้เห็น สถาบันกษัตริย์ ไม่สามารถแยกออกจากความสัมพันธ์กับ
ทหาร และทหารก็ถือโอกาสที่ตนเองมีอำนาจนี้ รับใช้ราชวงศ์และขณะเดียวก้นก็ปล้นเอา
ทรัพย์สินของประชาชนไปบำรุงบำเรอตนและหมู่คณะอย่างมากมายมหาศาลมาตลอด
แน่นอนล่ะครับว่า การก่อการรัฐประหารในระยะหลัง มันไม่ได้เกี่ยวกับแค่สถาบันทหาร ต้องการ
กุมอำนาจให้อยู่ในขอบเขตที่ตนได้ประโยชน์โดยตรงจากการบริหารโดยตรง หรือผ่านนอมินี
เช่นพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้ทำมาตั้งแต่อดีต แต่มาชัดที่สุดในยุคกล้วยจำบ่มจากอีอกซ์ฟอร์ด
เท่านั้น แต่มันได้รวมเอากลุ่มผลประโยชน์รอบราชบัลลังก์ไว้มากมาย การทีสถาบันพระมหากษัตริย์
มีบทบาททางผลประโยชน์มหาศาล จากการบริหารทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และเมื่อ
มีผลประโยชน์ สถาบันฯ ก็เป็นกลุ่มผลประโยชน์ ที่มีพันธมิตร เป็นกลุ่มธนาคารบ้าง กลุ่ม
ลงทุนต่าง ๆ บ้าง อันเป็นเรื่องแยกกันไม่ออก ยิ่งการถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลกลายเป็น
วัฒนธรรมที่นิยมกันเท่าใด สถาบันฯ ก็ยิ่งต้องผูกพันทางผลประโยชน์กับกลุ่มผลประโยชน์
ต่าง ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น เมื่อการเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ สถาบันฯ จึงเลี่ยง
ที่จะต้องผูกมัดทางการเมืองได้ยาก ยิ่งในรัฐธรรมนูญเขียนไว้ให้พระมหากษัตริยื มีพระราชอำนาจ
ในการใช้อำนาจอธิปไตยทางการนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ทั้งในระดับสูงสุดและระดับ
ยิบย่อย เรียกได้ว่า กุมกลไกทางการเมืองแบบประชาธิปไตยเสียสิ้นเชิง นี่ยังไม่นับกลไก
ระบบราชการที่ต้องมีตราครุฑเน้นย้ำ และด้วยเหตุนี้เอง ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับประชาธิปไตย
ในระยะปีหลัง ๆ นี้ เรียกว่า สองศตวรรษหลังนี้ เราจึงเห็นสถาบันพระมหากษัตริย์ออกมา
เกี่ยวข้องด้วย ไม่ว่าจะเป็นกรณีจำลอง-พลเอกสุจินดา การออกมาวิเคราะห์นโยบายฝ่ายบริหาร
ประจำปีในระยะทักษิณครองอำนาจ การเสนอนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงหลังจากบ้านเมือง
ล่มจมจากการทำระยำป่นปี้โดยคนในระดับสูงที่ทำธุรกิจอยู่ระดับที่ชี้เป็นโอกาสการเป็นมหา
เศรษฐีให้กับคนไม่กี่ตระกูล แต่หากทำพลาดกลับชี้ตายให้บ้านเมืองโดยรวม ดังเห็นได้จาก
กรณีต้มยำกุ้ง และรวมถึงบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่แจ่มแจ้งจนปิดไม่มิดในกรณี
ที่คนพูดกันเรื่องม็อบมีเส้นบ้าง นายกเทพประทานบ้าง ฯลฯ

ผมสรุปได้ว่า สถาบันฯ พระมหากษัตริย์ ถูกนำมาเชื่อมโยงกับการเมืองเสียจนมากเกินไป
และการเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์ ดังนั้น เมื่อสถาบันฯ เองมีส่วนได้เสียทางผลประโยชน์
กอปรกับมีความจำเป็นต้องควบคุมและเอาใจสถาบันทหารตำรวจ ดังนั้น สถาบันพระมหากษัตริย์
จึงถูกนำไปโยงกับกลุ่มที่ทำลายล้างประชาธิปไตย คือทหารตำรวจที่ก่อการปฎิวัติรัฐประหาร
ร่วมกับนักการเมืองบางพรรคในระยะก่อน ๆ และทหารผู้ประกาศตัวเป็นผู้ปกป้องและเป็นของ
ราชสำนักและร่วมมือกับกลุ่มผลประโยชน์อื่นทางการเงินและธนาคาร การสื่อ และธุรกิจอืืน ๆ
ที่เคยได้ประโยชน์จากนโยบายไม่โปร่งใส นโยบายที่ไม่เคยเอื้อให้มวลชนคนรากหญ้า ฯลฯ
จนเกิดพฤติกรรมหมู่ในการร่วมมือกันตัดตอนประชาธิปไตยแบบเป็นแก็งค์ ดังจะเห็นได้
ในระยะสองสามปีนี้

ผมเชื่อด้วยเจตนาดีว่า เมื่อเราช่วยกันตัดสถาบันพระมหากษัตริย์ออกเสียจากกองผลประโยชน์
ออกจากการต้องรับผิดชอบทางอำนาจ โดยประชาชนเป็นผู้ดูแลสถาบันฯ อย่างพอเพียง
ดังพระราชประสงค์ และสถาบันฯ ก็รับใช้ประชาชนตามศักดิ์และพระราชอำนาจที่ทรงมีอยู่
เหนือหัวใจชาวไทยอยู่แล้ว แต่ต้องไม่เข้าไปก้าวก่ายกับการเมืองเหมือนที่ผ่านมา
ต้องไม่มีสิทธิไม่ว่าจะเชิงสัญลักษณ์หรือทางการจัดการเหนือการใช้อำนาจอธิปไตยใด ๆ ทั้งสิ้น
แต่อาจจะให้เป็นสัญลักษณ์ที่มีเกียรติของรัฐได้ต่อไป เหมือนอังกฤษและญี่ปุ่น

วันนี้ สถาบันฯ ไม่มีทางเลือก เพราะประชาชนคนสีแดง ได้จุดกระแสความสว่างทางปัญญา
และคนก็เห็นกันชัดแล้วว่า สถาบันฯ ไมได้เป็นเทพเจ้า สถาบันฯ ทำผิดและทำถูกต่อ
ประชาธิปไตยได้ และสถาบันฯ จึงควรต้องปรับสถานภาพ เพื่อให้สถาบันฯ มีคุณและได้รับ
การยอมรับ รักใคร่จากประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่ด้วยการล้างสมองหรือบังคับอีกต่อไป
นี่เป็นเหตุผลที่ผมขอเรียกร้องให้พี่น้องช่วยกันสนับสนุนการเคลื่อนไหวกรณีการล้มเลิก
กฎหมายหมิ้นฯ และการเปลี่ยนแปลงบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์และคณะองคมนตรี
ที่คุณรักเสรีฯ ได้กรุณาแสดงให้เราเห็นถึงความอดทน เด็ดเดี่ยว และกล้าหาญมาตลอดกว่า
หนึ่งเดือนที่ผ่านมา

ด้วยศรัทธา
เพียงดิน

แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2009-03-16 22:36:21


โพสต์โดย : ลูกชาวนาไทย
icon ID # 1646059 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-16 22:20:13 _ ปิดข้อความ ex-link


เสรีภาพในการแสดงความเห็น เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ครับ ผมเห็นด้วยครับ แต่บางครั้งหากภัยมันจะมาถึงตัวก็ยั้งๆ เอาไว้ เนียนเอาไว้ก็คงไม่มีปัญหาอะไร "สื่อ" ก็ยังตรงเป้าเหมือนเดิม

ทหารที่ตายในสนามรบ ย่อมไม่อาจรบในสงครามได้

แต่นับถือคุณ เพียงดินครับ


โพสต์โดย : piangdin
icon ID # 1646060 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-16 22:20:34 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


นอกจากผมอยากจะประกาศว่า คุณจีรนุช ได้ตักเตือนผมให้แก้ไขเนื้อหา
เพื่อลดความสุ่มเสี่ยงและความเข้าใจผิดอันไม่จำเป็นแล้ว ผมขออ้างสิทธิ
ตามรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ คมช. เป็นคนยัดเยียดให้ โดยมีข้อกฎหมาย
ที่สนับสนุนการถกเถียงบนพื้นฐานความจริงตามหลักสิทธิเสรีภาพ
ตามระบอบประชาธิปไตยดังนี้ครับ

จากรัฐธรรมนูญปี 2550

มาตรา ๔ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของ
บุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง

ส่วนที่ ๑
บททั่วไป

มาตรา ๒๖ การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรี
ความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา ๒๗ สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้โดยชัดแจ้ง โดย
ปริยายหรือโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมได้รับความคุ้มครอง
และผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้ง
องค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐโดยตรงในการตรากฎหมาย
การใช้บังคับกฎหมาย และการตีความกฎหมายทั้งปวง

มาตรา ๒๘ บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพ
ของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์
ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน
บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ สามารถยก
บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดี
ในศาลได้

บุคคลย่อมสามารถใช้สิทธิทางศาลเพื่อบังคับให้รัฐต้องปฏิบัติตามบท
บัญญัติในหมวดนี้ได้โดยตรง

หากการใช้สิทธิและเสรีภาพในเรื่องใดมีกฎหมายบัญญัติรายละเอียดแห่ง
การใช้สิทธิและเสรีภาพตามที่
รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้แล้ว ให้การใช้สิทธิและเสรีภาพในเรื่องนั้นเป็นไป
ตามที่กฎหมายบัญญัติ

บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการส่งเสริม สนับสนุน และช่วยเหลือจากรัฐ ในการ
ใช้สิทธิตามความ
ในหมวดนี้

มาตรา ๒๙ การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้
จะกระทำมิได้เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะ
เพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้และเท่าที่จำเป็น และจะกระทบกระเทือน
สาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้
กฎหมายตามวรรคหนึ่งต้องมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป และไม่มุ่งหมายให้
ใช้บังคับแก่กรณีใด
กรณีหนึ่งหรือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง ทั้งต้องระบุบทบัญญัติ
แห่งรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจในการตรากฎหมายนั้นด้วย

บทบัญญัติในวรรคหนึ่งและวรรคสองให้นำมาใช้บังคับกับกฎที่ออกโดย
อาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายด้วยโดยอนุโลม



โพสต์โดย : piangdin
icon ID # 1646074 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-16 22:29:11 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


สวัสดีครับ คุณลูกชาวนาไทย ขอบคุณที่แสดงความหวังดีครับ
ติดตามอ่านงานของคุณเสมอนะครับ

ผมว่าเราจำเป็นต้องก้าวไปสู่การเปิดเวทีสำหรับการพูดคุยที่สร้างสรรค์เสียที
เพราะในภาวะที่คนสีแดงกำลังแดงทั้งแผ่นดิน ก้าวต่อไปของคนสีแดงมัน
ไม่มีทางหยุดอยู๋แค่การล้มรัฐบาลที่มาจากอำนาจพิเศษ อันไม่เป็นประชาธิปไตย
และอำนาจดังกล่าว ดังผมได้แสดงคร่าว ๆ ข้างต้นนั้น มันพันกันเป็นกระบวนการ
ซึ่งเรา ๆ ท่าน ๆ ทราบกันดีอยู่แล้ว และการจะแก้ปัญหาในอนาคตให้บ้านเมือง
นั้น เราจำเป็นต้องวิเคราะห์หรือแยกส่วนของปัญหาออกมา แล้วจึงจะ
มองเห็นสิ่งที่ต้องทำเป็นขั้น ๆ ส่วน ๆ ไป ผมยกแค่ปัญหาหลักหนึ่งข้อมา
ซึ่งอานิสงฆ์ของการทำเยี่ยงนี้ ทำให้เราเห็นปัญหาว่า มีความซับซ้อน
และต้องแก้ไข แต่ความซับซ้อนนั้น มันยิ่งยากแก่การแก้ไข เพราะเรามี
สถาบันฯ ที่คนไทยเคารพรักอยู่ตรงแกน หากเรารักชาติ รักบ้านเมือง
เราก็ต้องให้ทุกสถาบันอยู่รอด แต่จะทำอย่างนั้นไม่ได้ หากเราไม่แกะ
กล่องความจริงออกมาดู




โพสต์โดย : บังสุกุล
ID # 1646077 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-16 22:32:07 _ ปิดข้อความ ex-link


ข้อมูลพื้นๆ ที่คนในนี้ทราบกันหมดแล้ว

ไม่ควรโพสต์เป็นอย่างยิ่งหนักกว่า จักรภพ

ข้อมูลพวกนี้ เอาไว้ใช้กระจายด้วยการสุมหัวนินทาเท่านั้นครับ
------------------------------------------------------------------------

ลบเถอะครับ




โพสต์โดย : otosan
icon ID # 1646081 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-16 22:35:20 _ ปิดข้อความ ex-link


ขอชื่นชมในความกล้าหาญ ท่าน piangdin มากๆ เมื่อผมอ่านแต่แรก

ผมก็คิดในใจแล้วว่าจะต้องมีข้อขัดข้องแน่นอน แต่ผมก็เซฟข้อเขียนของ

ท่าน จขกท ไว้แล้ว เพราะชอบมาก และตรงตามความจริงที่เป็นอยู่ในบ้านนี้

เมืองนี้ หากไม่ตอแหลกัน ขอเป็นกำลังใจให้ครับ


โพสต์โดย : เพื่อนกัน
icon ID # 1646089 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-16 22:40:34 _ ปิดข้อความ ex-link


ติดตามอ่านกระทู้คุณเพียงดินมานานและ

นับถือในความเป็นนักสู้ประชาธิปไตยหัวก้าวหน้า

แต่ยังไงก็เห็นด้วยกะน้าบังฯ ครับ

ตอนนี้เซฟตัวเองไว้ต่อสู้ด้วยกันนานๆ ดีกว่านะครับ




โพสต์โดย : piangdin
icon ID # 1646093 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-16 22:42:13 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


เห็นด้วยกับคุณบังสุกุล ครับ ว่าข้อมูลนี้ มันพื้น ๆ มาก ๆ
และปัญหาก็เลยเป็นปัญหาพื้น ๆ ไปด้วย
แต่ผมไม่เห็นด้วยที่เราจะตอแหล ไม่พูดถึงปัญหาเหล่านี้

การเลี่ยงไม่พูด นี่แสดงว่า เรากลัว แสดงว่าเราไม่กล้า
แสดงว่า เราเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับความจริง
หากการพูดแค่นี้ ทำให้ผมกลับเมืองไทยไม่ได้
ก็ถือเป็นเวรกรรมของผมเองก็แล้วกันครับ
หากคนที่ความคิดพื้น ๆ อย่างผม ไม่มีประโยชน์กับบ้านเมือง
จะแจ้งจับกุมคุมขัง ก็ต้องแล้วแต่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะเห็นควรครับ

ผมแสดงเจตนาชัดเจนมาก นะครับ
การไม่พูดกันนี่ จะนำไปสู่ความรุนแรง
ผมไม่ต้องการเห็นเมืองไทยเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน
ที่ทหารและชนชั้นปกครองออกมาฆ่าปิดปาก ปิดเรื่องราว
และทำทารุณกรรมต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่เรียกร้องเสรีภาพ
และอนาคตที่ดีกว่าแก่ลูกหลาน บนพื้นฐานการปกครองที่ไม่ขัดกับ
ธรรมชาติความเป็นมนุษย์และหลักการที่สากลเขานิยมกัน
และได้แสดงให้เห็นชัดเจนมาแล้วว่าได้ผลดีกว่า

ขอบคุณสำหรับคำเตือนด้วยความหวังดีของคุณบังสุกุลครับ
สวัสดีครับ คุณotosan ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ



โพสต์โดย : EakLampang
ID # 1646096 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-16 22:45:36 _ ปิดข้อความ ex-link


ในประชาไท ผมติดตามบทความวิเคราะห์วิจารณ์เรื่อกการเมืองไทยมานานหลายปีแล้ว ผมชื่นชมหลายท่าน เช่น คุณลูกชาวนาไทย คุณปูนนก ฯลฯ คุณเพียงดินเป็นอีกท่านหนึ่งที่ผมให้ความนับถือในทางความคิด ผมเห็นด้วยเกือบทุกอย่างตามที่คุณเพียงดินได้เสนอแนะความคิดที่เฉียบคมนี้ เราจะทำอย่างไรให้สถาบันพระมหากษัตริย์ของเราดำรงค์อยู่กับประเทศไทยตลอดไป อยู่สูงในฐานะเป็นสถาบันที่คนไทยเคารพศรัทธาเพราะสถาบันตั้งแต่โบราณมามีพระ คุณอันล้นพ้นต่อคนไทย จะทำอย่างไรไม่ให้สถาบันของเราถูกนักการทหารบางคนบางกลุ่ม นักการเมือง นักธุรกิจ ชนชั้นสูงที่ชอบอ้างว่าตัวเองสูงส่ง เช่น กลุ่มที่เคยตั้งชื่อว่ากลุ่มสตรีผู้สูงศักดิ์ นำเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ของเราชาวไทยทุกคนไปแอบอ้างความจงรักภักดี เพื่อแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์สู่กลุ่มของพวกตนอย่างไร้อย่างอาย แต่กลับนำคำแอบอ้างนี้ไปทำลายบุคคลอื่นอย่างเป็นขบวนการ อย่านึกว่าประชาชนคนไทยเป็นคนโง่อย่างที่พวกคุณคิด ต้องถูกปกครอง ชี้นำอยู่ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา สังคมโลกก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว กลุ่มคนพวกนี้ยังคิดเหมือนเดิม กระทำการเหมือนเดิม ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยเฉพาะทหาร วันนี้พวกคุณทำอะไรกันอยู่ ด้วยความเคารพ


โพสต์โดย : ลูกชาวนาไทย
icon ID # 1646097 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-16 22:46:04 _ ปิดข้อความ ex-link


555 พูดครับคุณเพียงดิน พูดประจำ แต่ เนียนๆ นะครับ


โพสต์โดย : piangdin
icon ID # 1646104 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-16 22:50:58 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


ขอบคุณครับ คุณเพื่อนกัน

ผมไม่คิดว่าผมกล่าวหาสถาบันฯ แบบจงใจหมิ่นฯ หรือจงใจกล่าวร้าย
แต่ผมวิเคราะห์เหตุการณ์ตามที่เห็นและตามข้อมูลที่ได้เรียนรู้มาในฐานะ
นักวิชาการอิสระ

หากการพูดแค่นี้ ทำไม่ได้ และการหาทางออกแบบสร้างสรรค์ ฟังเสียงคนทุก
ระดับ มันทำไม่ได้ แรงกดดันมันจะรุนแรงมาก และผมกลัวว่า สิ่งที่เราไม่เคย
คาดคิด มันจะเกิดขึ้นได้นะครับ เช่น การปองร้ายชนชั้นปกครอง
ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องคอขาดบาดตายของบ้านเมือง เพราะประเทศอย่าง
รวันดา ที่เกิดสงครามกลางเมืองและลามกลายเป็นสงครามล้าง
เผ่าพันธุ์นั้น มันมีปมสำคัญปมหนึ่งซึ่งมีการสร้างขึ้น ด้วยการลอบทำร้าย
ผู้นำของเผ่าหนึ่ง ในทำนอง conspiracy ด้วยซ้ำ แล้วเขาก็อ้างเป็นฝีมือ
ของอีกเผ่าหนึ่ง แล้วหาเรื่องฆ่าแบบไม่เลือกหน้า อันนี้เป็นเรื่องสุดโต่ง
แต่ผมเกรงว่า ต่อไปหากเราไม่แก้ไขปัญหากันทุกฝ่าย ด้วยเจตนาดี
ต่อประเทศชาติ และยอมเสียสละส่วนตนจากทุกฝ่าย เราอาจจะก้าวไปสู่
กลียุค และการปองร้ายต่อกันนั้น มันเป็นสิ่งที่สุดยอดแย่สำหรับสังคม
มนุษย์นะครับ ชีวิตจะขาดอิสรภาพและเสรีภาพทันที ที่คุณมีคนปองร้าย

ผมไม่เชื่อว่า อภิสิทธิ์ และสุเทพ จะมีความสุขบนตำแหน่งที่เขาได้รับครับ
และความทุกข์ที่เกิดจากกรรมที่ไม่เป็นมงคลต่อบ้านเมือง ต่อประชาชนนี้
มันแรงมากนะครับ เรารักใคร เราก็ควรเตือนกันให้รู้ให้เห็น
ความรักของผม มันไม่จำกัดอยู่แค่คนสีแดงนะครับ ผมรักทุกคนที่เป็นคนไทย
และสำรองความรักให้กับมนุษย์และสัตว์โลกทุกคน

ที่ผมกล้าพูดกล้าเขียน ก็เพราะได้ถามใจตนเองแน่แล้ว ว่าไม่ได้มีเจตนาร้าย
และผมจะยอมเสียสละ หากต้องถูกจับกุมคุมขัง เพียงเพราะกรรมนี้



โพสต์โดย : DUPETh.
ID # 1646106 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-16 22:52:34 _ ปิดข้อความ ex-link


จริงครับ มันก็แค่ข้อมูลพื้นๆ ที่คนไทยเรื่มเข้าใจกันแล้ว

รัฐประหารครั้งหนึ่ง ใครได้ดิบได้ดี มีเงินทองเป็นร้อย เป็นพันล้าน

ใครได้ยศได้ตำแหน่ง ได้เป็นรัฐบาล ได้เป็นนายกฯ เป็นรัฐมนตรี

ใครได้อำนาจกลับคืน หลังจากเผลอทำหลุดมือไปสาม-สี่ ปี

มันก็ไอ้พวกเดียวกันทั้งนั้น

มีก็แต่ประชาชนไพร่ตาดำๆนี่แหละ ที่ไม่ยอมปลดแอกออกจากคอตัวเองเสียที


โพสต์โดย : generalwill
icon ID # 1646120 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-16 23:02:04 _ ปิดข้อความ ex-link


ขออนุญาตบันทึกไว้ เพื่อเอาไปสอนลูกสอนหลาน

เอาไปเล่าสู่เพื่อนฝูง ญาติสนิท มิตรสหาย

เจอกันกลางตลาด คุยกลางตลาด

เจอกันบนทางเท้า คุยบนทางเท้า

เจอกันวงเหล้า คุยในวงเหล้า

เจอกันงานวัด คุยในงานวัด

เจอกันงานบ้านใหม่ งานแต่งงาน งานบวช งานฝังลูกนิมิต งาน ฯลฯ คุยหมดทุกงาน

จัดวงเสวนา คุยกันให้รู้ไปทั่ว


ผมไม่ได้โม้นะอำมาตย์และเผด็จการที่กำลังเสวยสุขกับอำนาจการเมืองทั้งหลาย
เรื่องแบบนี้ ชาวบ้านเขาคุยกันให้แซดทั้งประเทศไปแล้ว
คุยตามรูปแบบที่ผมเขียนไว้ข้างต้นนี่ละ.....สะใจไหมละ

ที่ น่าห่วงก็คือ.....บางวงเสวนาเขาคุยกันในสาระที่มากกว่า กว้างกว่า และลึกกว่าที่มีการเขียนไว้ในนี้อีกนะอำมาตย์.....ดังนั้นถ้าไม่รีบหาทาง แก้ไข ปรับจูนบทบาทของแต่ละภาคส่วนแล้ว น่าเป็นห่วงนะท่านนะ

ด้วยความหวังดี

แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2009-03-16 23:03:49


โพสต์โดย : ดวงจำปา
ID # 1646122 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-16 23:02:29 _ ปิดข้อความ ex-link


ติดตามกระทู้คุณเพียงดินตลอดมา
หลายๆกระทู้ที่ประทับใจ และCopyความเห็นของคุณเพียงดินเก็บไว้
รวมทั้งกระทู้นี้ด้วย

ในประชาไทมีหลายๆท่านที่ดิฉันชื่นชม(ปลื้ม)ในความรู้ ความสามารถ
ความตั้งใจจริง แนวคิด ฯลฯ
แต่ด้วยข้อจำกัดบางประการที่ดิฉันไม่สามารถเสนอความเห็น
รวมทั้งข้อมูลบางประเด็นเข้ามาประกอบได้
ดิฉันขอโทษในส่วนนั้น

ข้อความของคุณลูกชาวนาไทย น่าคิดนะคะ
"ทหารที่ตายในสนามรบ ย่อมไม่ได้รบต่อ"

ดิฉันขอฝากเพิ่ม
ไม่ว่าใครจะมองคุณเป็นคนเป็นคนเช่นไร
ไม่สำคัญเท่ากับที่ตัวของคุณมองตัวคุณเองว่าเป็นคนเช่นไร

สงครามไม่ได้จบลงภายในวันเดียว
กำลังสมอง กำลังใจ วิสัยทัศน์ สำคัญมากสำหรับการสู้รบในสมัยใหม่
ดิฉันคิดว่าเราต้องช่วยกันสงวนแนวร่วมที่มีคุณภาพเช่นคุณเพียงดิน
เอาไว้จนถึงวันของเรา มันไม่ใช่แค่ภายในไม่กี่วันนี้
ที่สำคัญไม่ใช่เอาชนะกันแค่ในเวปบอร์ดนี้เท่านั้น
ด้วยความเคารพ


โพสต์โดย : piangdin
icon ID # 1646124 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-16 23:03:00 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


ทราบดีในความสามารถของคุณลูกชาวนาไทย ในแง่การพูดถึงประเด็นสำคัญ
โดยได้ใจความ แบบไม่ต้องเผยอะไรโดยตรง

สำหรับผม คิดว่ามันถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องเอาความจริงมาอยู่ในที่สว่างเสียบ้าง
หากคนที่เกี่ยวข้องยอมรับความจริง การสุมหัวนินทากันบนท้องถนน ร้านกาแฟ
ตลาด และตามที่ต่าง ๆ นั้น มันไปไกลกว่าที่ผมเขียน และไม่ได้มีแนวทาง
พ้นไปไกลกว่าการนินทาว่าร้ายนะครับ จะบอกให้ แต่การเขียนอย่างมี
หลักวิชาการ คือการพยายาม push the edges of knowledge ออกไปให้
พ้นจากแค่องค์ความรู้แบบพื้น ๆ แล้วสานต่อให้มันแนน กรองให้มันบริสุทธิ์
และสนธิให้เกิดผลในทางสร้างสรรค์ แบบที่ผมพยายามสร้างให้เป็นวัฒนธรรมนี้
เป็นสิ่งที่เป็นคุณอย่างยิ่งกับสังคมไทยเราตอนนี้ ที่มีแต่คนพูด คนบ่น คนด่า
แต่หาคนที่คิดหาทางออกที่เหนือกว่าสิ่งที่รู้แล้ว ดันทิศทางสังคมไปในทาง
ที่เป็นรูปธรรมและสร้างสรรค์ และนำไปสู่ทางออกของปัญหาที่ถูกแกะออก
มาวิเคราะห์อย่างชัดเจนแล้ว

ผมมองแบบภาพรวมนะครับ เห็นว่าความจริงมีคนดี คนเก่ง และนักวิเคราะห์
ที่มีข้อมูลลึกซึ้งกว่าผมมากมาย และผมเองก็แอบเก็บความรู้จากพวกเขา
อยู่บ่อย ๆ แต่ผมเชื่อว่า เราต้องมีวัฒนธรรมการเสวนากันแบบไม่ตอแหล
ให้มากขึ้น หากอุปสรรคมันคือกฎหมาย เราก็ต้องทำให้คนเชื่อว่า กฎหมาย
มันไม่ชอบธรรม และคงต้องไปแก้กฎหมายด้วย ไม่ใช่ยอมหดหัวแล้วไม่ยอม
แก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหา คุณรักเสรีฯ ชูประเด็นกฎหมายหมิ่นฯ มานานกว่า
เดือนแล้วนะครับ แต่ด้วยความกลัว ด้วยความตอแหลอยู่กับตนเอง ที่
มองเห็นหลักการว่าเราต้องมีเสรีภาพ ต้องมีสิทธิความเป็นมนุษย์
แต่เรากลับยอมกลัวและยอมเลี่ยงให้กับกฎหมายที่ริดรอนสิทธิเสรีภาพ
และยังถูกนำไปใช้โดยนักการเมืองและเผด็จการในระบอบ ที่ใช้กฎหมาย
นี้และสถาบันฯ มาเป็นเครื่องมือทางการเมืองแบบไม่อายฟ้าดิน

คำถามที่เราต้องตอบก็คือ เราเชื่อในหลักการเสรีประชาธิปไตยหรือไม่
เราเชื่อในหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่

หากเราเชื่อแล้ว แต่เรายอมที่จะกดสิทธิของเราไว้ด้วยตัวเราเอง
หากเราไม่ตอแหล ก็แสดงว่า เรายังไม่พ้นจากความเป็นทาส

ผมถามว่า วันนี้ หากสิ่งที่ผมเขียนนี้ เขาถือว่าผิดและจับกุมคุมขัง
แล้วผมขอให้พี่น้องลงชื่อสนับสนุนว่า ข้อความที่ผมเขียนเป็นจริง
และขอร่วมชะตากรรมกับผม หากเขาจับเข้าคุก จะมีใครกล้าลงชื่อ
เข้าคุกกับผมไหมล่ะครับ ผมขอช่วยลงชื่อข้างล่างทีสิครับ




โพสต์โดย : คนเล่นคอม
icon ID # 1646136 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-16 23:07:15 _ ปิดข้อความ ex-link


ขออนุญาต เซฟและ..................................แจก


โพสต์โดย : citystraycat
ID # 1646144 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-16 23:10:14 _ ปิดข้อความ ex-link


ได้ยินมาเรื่องรัฐธรรมนูญญี่ปุ่น...
.. ที่จำกัดอำนาจของสถาบันกษัตริย์เพื่อป้องกันการนำสถาบันกษัตริย์ไปรับรอง ความไม่ถูกต้อง เช่น ห้ามให้มีการบริจาคให้กษัตริย์โดยสิ้นเชิง ห้ามออกเครื่องราชย์ เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครที่ได้เงินมาในทางทุจริตเช่น จากการค้ายาเสพติด ค้ากาม หรือธุรกิจใต้ดินต่าง ๆ นำมาบริจาคให้เพื่อฟอกตัวเอง และแถมกับการได้รับเกียรติยศ และทำให้ตัวเองดูดีขึ้นเพราะได้รับการฟอกจากสถาบันกษัตริย์ กษัตริย์ญี่ปุ่นไม่มีการกำหนดในรัฐธรรมนูญหรือมีประเพณีการปกครองที่จะต้อง มีการลงพระปรมาภิไธยรับรองกฎหมายหรือเอกสารใด ๆ เพื่อรับรองความถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้คณะใดๆ นำอำนาจของมหากษัตริย์มารับรองเพื่อประโยชน์ของพวกตน รับรองผิดให้เป็นถูกได้ ไม่สามารถรับรองให้ความถูกต้องของผู้ไดหรือพวกใดที่ยึดอำนาจไปจากประชาชนจาก ผิดมาเป็นถูกได้ พระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมืองโดยสิ้นเชิง ...ไม่มีใครสามารถเอาสถาบันกษัตริย์มาเป็นเครื่องมือได้ ไม่ว่าทางการเมือง สังคม แม้กระทั่งเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นก็เลยไม่มีปัญหาเรื่องการรัฐประหาร การอ้างหรือบังคับเอากษัตริย์มารับรองความผิดให้เป็นถูก.. ประชาธิปไตยก็เลยเจริญก้าวหน้า.. และประเทศชาติก็เจริญเอา เจริญเอา...


โพสต์โดย : Loginname (บุคคลนิรนาม)
IP :
ID # 1646148 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-16 23:11:26 _ ปิดข้อความ ex-link




ว่าจะไม่โพสแล้วเชียว แต่เห็นคุณเพียงดินบอกว่า

"เราอาจจะก้าวไปสู่กลียุค และการปองร้ายต่อกันนั้น"


ความจริงขณะนี้เราอยู่ในช่วงกลียุคนะครับ

กลียุค คือยุคที่ทำชั่วแล้วได้ดี เช่น ยึดสนามบินแทนที่จะติดคุก กลับได้เป็น รมต.

มิคสัญญียุค คือยุคที่คนขนอาวุธห้ำหั่นกันดุจพรานล่าสัตว์


กลียุคเกิดก่อน ถ้าหยุดไม่อยู่จะเกิดมิคสัญญีตามมาครับ


โพสต์โดย : กำนัน
icon ID # 1646152 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-16 23:16:47 _ ปิดข้อความ ex-link


เห็นด้วยจริงๆที่บอกว่าสถาบันจำเป็นต้องเอาใจทหาร.....


โพสต์โดย : piangdin
icon ID # 1646161 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-16 23:21:07 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


ต้องขอบคุณทุก ๆ ท่านที่มาเสวนาด้วย แล้วช่วยแต่งเติมประเด็นให้มัน
ถ่างออกในแนวกว้างและอาจจะเจาะลงในแนวลึก การสนทนากันด้วย
มิตรจิตและด้วยเจตนาดีนี่แหละครับ เป็นหัวใจของการพัฒนาประชาธิปไตย
และการสร้างสันติสุข คนที่มีจิตใจเมตตา มีอุดมการณ์ที่เหนือตนเอง เหนือ
กลุ่มคณะ จะมีความอดทน เมตตาและเปิดกว้างสำหรับการสนทนาเสมอ

คนชนชั้นปกครอง หากไม่มีเวลาหรือยังเคอะเขินที่จะมานั่งสนทนาหรือ
ลงจากหอคอยงาช้างลงมาเดินดินกินข้าวแกงกับคนเบื้องล่างนั้น ควรหา
สาระและข้อเตือนใจได้จากกระทู้อย่างที่เราเห็น ๆ ในประชาไทนี่แหละครับ
นี่แหละขุมทรัพย์ทางปัญญา นักวิชาการคนเดียว อาจะมีทฤษฎีที่เน้น
ทางใดทางหนึ่ง ม้นจะไม่มีทางสมบูรณ์ หากสมบูรณ์ด้วยกรอบ แต่จะไม่
สมบูรณ์ด้วยรายละเอียดที่มีข้อยกเว้น แต่สำหรับการสนทนที่มีข้อมูล
หลากหลาย มีการเติมเต็มกัน มีความเห็นที่มาจากประสบการณ์จริง
คนอ่านหรือคนร่วมที่เปิดใจสำหรับการเรียนรู้ จะได้ข้อคิดและเกิดการงอก
เงยความคิดเฉพาะตนอย่างไม่น่าเชื่อ อันนี้เป็นทฤษฎีการศึกษานอกระบบ
ที่ผมเชื่อนะครับ

และผมก็เชื่อด้วยว่า สถาบันฯ และผู้ปกครองไทย ได้ประโยชน์จากการเปิด
ให้คนไทยได้ใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ มากกว่าไปกดพวกเขา เพียงเพื่อ
ผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ยังพิสูจน์ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ว่าได้จริง หรือเสียจริง มากน้อยเท่าไหร่?


โพสต์โดย : poowa (บุคคลนิรนาม)
IP :
ID # 1646179 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-16 23:31:36 _ ปิดข้อความ ex-link


ผมเห็นด้วยกับคุณเพียงดิน สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่เทิดทูนของประชาชนไทยทุกหมู่เหล่า คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่ควรเหม๋าจงรักภักดี แล้วไปว่าคนอื่นไม่จงรักภักดี แล้วใช้กฏหมายเล่นงานคนอื่น กฎหมายนี้ควรแก้ไข ควรกำหนดโทษใหม่ ใครหมิ่น ต้องเข้าอบรมใน"ศูนย์พัฒนาจริยธรรมไทย" อบรม1วันหรือ 1สัปดาห์ เพื่อกล่อมเกลาอย่างมีเหตุและผล(ไม่ใช่ล้างสมอง) ว่าถ้าประเทศไม่มีกษัตริย์ อะไรจะเกิดขึ้นในบ้านนี้เมืองนี้ อาจจะใช้คอมพิวเตอร์จำลองสถานการเสมือนจริงให้ชมก็ได้ หากยังไม่เข้าใจอีก ก็ส่งไปอยู่พม่า หรือเกาหลีเหนือมั่งก็ได้.. ผมคิดถูกไหมครับ..


โพสต์โดย : Mark Levinson
icon ID # 1647450 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 18:13:47 _ ปิดข้อความ ex-link


อ่านแล้วก็ยิ่งเซ็งๆๆๆๆ
เอาอย่างนี้ดีไหมครับ ต่อไปนี้หากว่ามี article ดีๆ
1-จับมาทำเป็น Dot Document
2-จากนั้นก็เอา file มาเข้ารหัสสะ (password แจกทีหลัง)
twofish , blowfish 448 bits encryption
แจกกันเข้าไป ไม่มีรหัสเปิดไม่ได้
3-แจกจ่าย file ให้สะใจไปเลย
4-แจกรหัสด้วยวิธีไหนก็ได้
5-ข่าวสารได้รับการส่งสมบูรณ์

จบ....



โพสต์โดย : piangdin
icon ID # 1647544 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 19:28:00 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


ขอบคุณคุณจีรนุชและพี่น้องที่สนใจบทความนี้
อย่างที่หลายท่านบอก เนื้อหากระทู้มันไม่ได้มีอะไรลึกซึ้ง
แต่มันเป็นความจริงพื้นฐานที่คนที่สนใจการเมืองเชิงโครงสร้าง
เข้าใจได้ดีอยู่แล้ว และอันที่จริง ส่วนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ นั้น
หากผู้เกี่ยวข้องได้มาอ่าน มันจะเป็นคุณด้วยซ้ำ เหมือนพี่น้องเราท่านหนึ่ง
กล่าวไว้อีกกระทู้หนึ่ง

แต่กระนั้น เราก็ยังแทบจะไม่มีที่ว่างให้กับเรื่องแค่นี้ การได้กระทู้คืนมานั้น
อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้ว่า ที่ว่างมันยังพอมีและไม่ได้แคบจนเกินไป

ขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องครับ


โพสต์โดย : คุณก็รู้ว่าใคร
ID # 1647583 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 19:53:35 _ ปิดข้อความ ex-link


จากที่คุณ piangdinทิ้งท้ายไว้ว่า

คำถามที่เราต้องตอบก็คือ เราเชื่อในหลักการเสรีประชาธิปไตยหรือไม่
เราเชื่อในหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่

หากเราเชื่อแล้ว แต่เรายอมที่จะกดสิทธิของเราไว้ด้วยตัวเราเอง
หากเราไม่ตอแหล ก็แสดงว่า เรายังไม่พ้นจากความเป็นทาส

ผมถามว่า วันนี้ หากสิ่งที่ผมเขียนนี้ เขาถือว่าผิดและจับกุมคุมขัง
แล้วผมขอให้พี่น้องลงชื่อสนับสนุนว่า ข้อความที่ผมเขียนเป็นจริง
และขอร่วมชะตากรรมกับผม หากเขาจับเข้าคุก จะมีใครกล้าลงชื่อ
เข้าคุกกับผมไหมล่ะครับ ผมขอช่วยลงชื่อข้างล่างทีสิครับ


..........หลังอ่านจบและอ่านอีกรอบ และก็นั่งอึ้งๆถอนหายใจยาวๆสักพัก
ผมเห็นว่าถ้าบ้านนี้เมืองนี้พูดเรื่องจริงๆจังๆกันไม่ได้มันก็ไม่น่าอยู่ซะแล้ว
จะ ให้คุยกันเรื่องนกเรื่องหนูเรื่องน้ำเน่าละครเมียหลวงลูกสะใภ้ตบกันอยู่หรือ ไร เราเคยผ่านการทำแบบนั้นกันมาแล้วนี่จะให้กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้งหรือ
เมื่อกี้เพิ่งฟังเพลงใหม่ของลูกทุ่งแกรมมี่ เค้าทำชุดพิเศษให้กับครูสลา
ใช้ชื่อเพลงว่า
ขอบคุณฟ้าที่ให้เจอ ...ขอบคุณเธอที่ให้ใจ
ถ้าเรื่องที่เราพูดกันอยู่นี้เกิดขึ้นได้ในประเทศสารขัณฑ์นี้ จะขอมอบบทเพลงนี้ให้คุณเพียงดินเลยทีเดียว อิอิ
อ้อ.. ถ้าข้างนอกนี้ไม่น่าอยู่ก็ขอลงชื่อต่อท้ายชื่อคุณเพียงดิน เป็นเพื่อนคุณเพียงดินเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดี...ผม คุณก็รู้ว่าใคร ครับ

เห็นด้วยกับพี่ลชนท.ที่ว่า
ทหารที่ตายในสนามรบ ย่อมไม่อาจรบในสงครามได้
แต่แค่ติดคุกคงยังไม่ถึงตายกระมังพี่ลุกชาวนาไทย อิอิ
หยอกล้อด้วยความเคารพนะพี่
พ้มเห็นพวกติดคุกเฉียดคุกกันมาตั้งหลายหน ยังเดินดินกินหญ้าในสภากันสบายเลยอ่ะ..อิอิ
เลยจะลองเฉียดๆดูบ้างเพื่อได้ไปเดินเชิดหน้าในสภาอันทรงเกียรติบ้าง 555




โพสต์โดย : piangdin
icon ID # 1647615 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-17 20:16:14 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


สวัสดีครับ คุณคุณก็รู้ว่าใคร
เข้าใจความรู้สึกครับ

หากการยึดทำเนียบรัฐบาลไม่ผิด
หากการยึดสนามบินไม่ผิด
หากการยิงคนบนถนน มีรูปในหลวงหราอยู่เบื้องหลัง แล้วไม่ผิด
และยังไม่นับว่า กฎหมายหมิ่นฯ นั้น ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน
แล้วเรายังมากลัวที่จะพูด จะเขียนด้วยเหตุผลและเจตนาดี
ผมว่าเราตอแหลกันมากเกินไปจริง ๆ แล้วครับ
หากจะไม่มีแผ่นดินอยู่ เพียงเพราะพูดความจริงด้วยเจตนาจะให้เกิดการแก้ไข
ปัญหาสำคัญของบ้านเมือง ผมก็ยินดีตายอยู่ต่างแดนครับ
แต่ใคร ๆ ก็เอาหัวใจรักต่อแผ่นดินเกิดไปจากผมไม่ได้นะครับ
ผมก็คงต้องทำในสิ่งที่ผมต้องทำอยู่ดีครับ



แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2009-03-17 20:32:03
Posted by Jaiseree at 6:38 AM 0 comments
เจ้าชายมหาเสน่ห์กำลังทำบ้านเมืองเละเทะ: นายกไทย เพื่อนรักของบอริส จอห์นสัน กำลังปกครองบ้านเมืองจนวุ่นวายและไร้ธรรม
From The Times
March 13, 2009
The charmer making a mess of his country
The Prime Minister of Thailand, best friends at Eton with Boris Johnson, is presiding over a chaotic and callous regime
Richard Lloyd Parry
Source: http://www.timesonline.co.uk/tol/comment/columnists/guest_contributors/article5897588.ece

However indignant you felt about him, and the calamitous mess over which he presides, it would be impossible ever to throw a shoe at a man such as Abhisit Vejjajiva. Among his peers, the new Prime Minister of Thailand challenges even Barack Obama for the title of World's Most Decent Leader.

As a young politician, he was a heart-throb among middle-aged Bangkok matrons. At Eton, where he was known by the name “Mark Vejj”, he was best friends with Boris Johnson. He is handsome, youthful, brilliant, cosmopolitan, impeccably well mannered and rather posh. So when he gives a speech at his old university, Oxford, tomorrow, it is safe to assume that the audience at St John's College will be keeping its brogues securely laced.

But Mr Abhisit's charm should not be a distraction from ugly truths about what is happening in Thailand. In the past four years, it has gone from being one of the most free and stable countries of South-East Asia to one of its most chaotic and divided. Writers, academics and journalists have been imprisoned or hounded into exile for harmless comment on Thailand's monarchy. Helpless boat people have been chased out to sea to their deaths. Democratically elected governments have been forced out, first by the army and then by the power of the mob.

All of this has been done with the approval - sometimes passive, sometimes explicit - of the nice Mr Abhisit. The title of his talk at St John's tomorrow, “Taking on the Challenges of Democracy”, could not be more appropriate, for Thailand's leader is indeed democratically challenged. Rarely since the days of Dr Faustus has a gifted and promising man achieved power through such grubby and disreputable means.
Background

* Profile: Abhisit Vejjajiva

* Vejjajiva vows to sweep nation clean

* Old Etonian is new Thai Prime Minister

* Thai Premier defies protests for maiden speech

Since Mr Abhisit became the leader of the Democrat Party in 2005, there have been two general elections in Thailand. He boycotted the first one in 2006, which was won, for the third time in a row, by the man at the centre of 21st-century Thai politics, Thaksin Shinawatra. His next electoral test came in 2007, when he was defeated decisively. The greatest “challenge” of democracy for Mr Abhisit has been as simple as that - whenever they have been given a chance to elect him, Thai voters have chosen someone else.

Thaksin represents another challenge: a profoundly unsavoury politician who is adored by the majority of his own people. As Prime Minister, he used his great wealth to political and personal advantage (last year he and his wife were convicted in absentia of a multimillion-pound property cheat). In southern Thailand he ordered a brutal campaign against Islamic insurgents which left scores of innocent people dead.

Thaksin's version of the war on drugs was to license the police to execute without trial anyone they suspected of being a dealer. But for all of this, he changed for the better the lives of millions of rural Thais.

His cheap healthcare programme gave the poorest people access to affordable medical treatment for the first time ever. A micro-credit scheme allowed many villagers to lift themselves out of subsistence level poverty. But the majority of Thais chose him as their leader, time and again - and after he was forced into exile, and then criminally convicted, they have gone on voting for his political heirs and supporters.

By contrast Mr Abhisit owes his job, not to the will of his people, but to the support of powerful friends - and even they have required a comically large number of attempts to propel their boy to power. First there was the army, which drove Mr Thaksin into exile in a bloodless coup in 2006. Over the course of a year, the generals convened an assembly of tame delegates who rewrote the country's constitution to give Mr Abhisit a better chance of winning. To imagine the election which followed in footballing terms: the Democrat Party was playing downhill, against a team without a striker, in a game refereed by one of their dads. And still Thaksin's side won.

At this point, Mr Abhisit was helped out by a new and sinister force in Thailand - the People's Alliance for Democracy (PAD). At times he has had the decency to appear slightly embarrassed by this mob of yellow-shirted anti-Thaksin activists, led by a rich media owner and apparently supported by the Thai Queen. What exactly the PAD believes in is not easy to pin down, but at heart they want to strip the vote from those silly people who can't be trusted not to vote for Thaksin's side.

When they don't get their way, they resort to force, occupying first the Prime Minister's office and then Bangkok's international airport last year, in chaotic scenes that were broadcast across the world.

The Democrats have never employed such tactics themselves, but they have benefited from them. After the latest pro-Thaksin Government was forced from power by a court ruling last year, they formed a Government by jumping into bed not only with PAD supporters, but even former Thaksin cronies, under the watchful supervision of the army. Mr Abhisit might argue that these were political compromises necessary so that a decent man could finally get his hands on the levers of government. But in the three months since he became Prime Minister, he has come to look more like the puppet than the master of those who hoisted him to power.

A series of disgraceful incidents have made it harder than ever to understand what has happened to the liberalism for which he used to stand. In January, the Thai military beat up and set adrift some 1,000 boat people from Burma, scores of whom died at sea. Journalists and academics continue to be arrested and imprisoned under Thailand's Kafakaesque lèse-majesté law, under which a prison sentence of 12 years can be imposed for dispraise of the Thai King and his family.

At times, it has looked as if someone in power is consciously making a fool of Mr Abhisit - such as the speech he gave last week about the importance of media freedom, which was followed a few hours later by the arrest of the webmaster of an independent website.

Thailand is no Zimbabwe or China, and by comparison with most of their Asian neighbours, Thais are blessedly free and prosperous. But it has the alarming air of a democracy lurching into reverse and out of control, in which familiar freedoms are flying out of the window with unpredictable speed. It is all the more painful that this should be happening under a leader of such obvious talent, a man with all the qualifications except the essential one - democratic legitimacy.

Richard Lloyd Parry is Asia editor of The Times
Posted by Jaiseree at 4:48 AM 0 comments

No comments:

Post a Comment